วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การเช่าจักรยานขี่ 47,105เที่ยวต่อวัน ที่อังกฤษ



การขี่จักรยานเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะประเทศทางยุโรปตะวันตก ประเทศเนเธอร์เป็นประเทศที่โดดเด่นที่สุดที่สนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานกันอย่างแพราหลาย
  เป็นที่น่าสังเกตุว่า ในการแข่งขัน โอลิมปิค ที่ประเทศอังกฤษ ปี 2012 มีผู้เช่าจักรยานในกรุงลอนดอน ทำสถิติสูงสุดถึงวันละ 47,105 เที่ยว


คุ้มยิ่งกว่า...น่าเอาอย่าง
ที่จอดจักรยาน
   
การขี่จักรยานในลอนดอน อังกฤษ
 


https://www.google.co.th/search?q=bicycle+in+holland&biw=1422&bih=678&tbm=isch&imgil=1IZCa8yzw0qYFM%253A%253BQfUh0OFzRzjHbM%253Bhttp%25253A%25252F%25252Fthe2seasons.com%25252F2011%25252F04%25252F06%25252Fholland-here-we-come%25252F&source=iu&pf=m&fir=1IZCa8yzw0qYFM%253A%252CQfUh0OFzRzjHbM%252C_&usg=__RwgMM131J4CqoWa_5pwGSIkvIgs%3D&ved=0CD4Qyjc&ei=-CGJVP7BO8vbuQSXwIHQDw#facrc=_&imgdii=_&imgrc=pjvYLDt55BigdM%253A%3B-9yj2t22Kk6u_M%3Bhttp%253A%252F%252Fi.ytimg.com%252Fvi%252Fn-AbPav5E5M%252Fmaxresdefault.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.youtube.com%252Fwatch%253Fv%253Dn-AbPav5E5M%3B1280%3B720

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Stu Mittleman ยอดนักวิ่ง ข้ามรัฐ






"การออกกำลังกายอย่างช้าๆ"

  ใครจะคิดว่า สตู เมตโดแมน(Stu Mittleman ) ชายวัยเฉียด 60 จะสามารถวิ่งข้ามรัฐ จาก เมือง ซานดิเอโก้ ถึง เมือง นิวยอร์ค ระยะทางร่วม 1000ไมล์(1,609กิโลเมตร) ในเวลาต่ำกว่า 12 วัน
   Stu วิ่งติดต่อกันทุกวัน เป็นระยะทาง100ไมล์( 160 กิโลเมตร) หรือ 3.4 เท่าของการวิ่งมาราธอน ติดต่อกัน 11 วันโดยไม่เว้นวันวิ่ง เพื่อฉลองวันเกิดครบ ปีที่ 60

รายละเอียดสถิติการวิ่ง ดูที่  (http://en.wikipedia.org/w/index.php?title=American_100-Mile_Road_Race&action=edit&redlink=1)

 สตูพบว่า ในการออกกำลังกายทุกชนิด(เขาเน้นการวิ่ง) ต้องมีการฝึกฝนให้ร่างกายรู้จักเผาผลาญไขมันแทนการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด เพราะไขมันที่สะสมในร่างกายสามารถให้พลังงานอย่างเหลือเฟือ มากกว่าพลังงานที่เกิดจากการ การเผาผลาญน้ำตาล(จะทำให้เราหมดพลังในการออกกำลังกาย)
  การเผาผลาญไขมันจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายจะฟิตลดความเสี่ยงจากโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด(เนื่องจากคนอเมริกันส่วนกินชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง) ร่างกายจะแข็งแรงทนทานในการทำงาน(เรียกว่าได้ทั้ง2เด้ง)
    เขาเห็นว่า การออกกำลังกายอย่างช้าๆต่อเนื่อง ร่วมกับ การหายใจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรต และไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายสามารถทนทานต่อการทำงานในระยะยาว
     การออกกำลังกายอย่างหนัก(เช่นการวิ่งระยะสั้น) ทำให้ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนมากกว่าปรกติ ต้องหายใจถี่และหนัก ต้องนำน้ำตาลในกระแสเลือดมาใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำตาลจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียจนหมดพลังที่จะออกกำลังกายต่อไป
  Stu เขียนหนังสือแนะนำโปรแกรมการฝึกร่างกายให้นำไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล โดยการเขียนหนังสือ ชื่อ Slow burn ออกมาขายใ(ราคา 12 ดอลล่าร์)
     แต่มีผู้เขียนท่านหนึ่ง(Matt Frazier) ไม่เห็นด้วยทั้งหมดกับ หนังสือ ที่ เมตโดแมนเขียน โดยชี้ให้เห็นถึงความจุกจิกหยุมหยิมในทางปฏิบัติ(Chore)
    Matt เห็นว่ามีข้อเขียนของStu บางอย่างเท่านั้นทีให้ประโยชน์จริงๆ รู้สึกว่าMatt จะรู้สึกเสียดายกับเงิน 12 ดอลล่าที่เสียไปกับการซื้อหนังสือSlow burn ที่Stu เขียน
 


     อย่างไรก็ตามอย่าไปกังวลกับข้อขัดแย้ง เพราะฝรั่งส่วนใหญ่ก็มีความคิดเป็นของตัวเองและชอบนำความคิดของตัวเองมาเผยแพร่ ขอให้เรารู้แค่ Stu สามารถวิ่งได้ระยะทางในเวลาดังกล่าว ก็หมายความว่า Stu ต้องมีอะไรดีแน่ (ส่วนหนังสือราคา 12 ดอลลาร์ จะซื้อหรือไม่ก็ไม่มีใครบังคับผมเองก็อ่านไม่ไหว)
    ส่วนข้อที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ลองอ่านบทความภาษาอังกฤษดู(ให้เหตุผลเป็นข้อๆชัดเจนดี)

มาดูข้อขัดแย้งของ Matt Frazier

Slow Burn = slow read


slow burn stu mittleman2 1 202x300
Slow Burn - a slow read
Well, I finally finished Stu Mittleman‘s book, Slow Burn.  I say “finally” because it became a bit of a chore.  It’s not that Stu’s message isn’t interesting — the idea that we can train our bodies to burn fat rather than sugar in order to run far longer than most of us realize is possible is certainly worth some exploration.  The problem is that the “how” can be summed up in just a few sentences, not an entire book.

 ผมได้อ่านหนังสือ เรื่อง " Slow Burn" ของ เมโดแมนแล้ว ที่ผมพูดว่า ในที่สุดแล้ว ก็เพราะว่า มันกลายเป็นเรื่องหยุมหยิมในตัวเองนิดหน่อยแต่ไม่ได้หมายความว่า การสือของเขาจะไม่น่าสนใจเกี่ยวกับความคิดที่ว่า เราสามารถฝึกตัวเองให้สามารถเผาผลาญไข่มันแทนน้ำตาล เพื่อที่จะสามารถวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น ซึ่งคนปรกติเช่นเราๆต่างก็ตระหนักดีว่า มันก็เป็นไปได้และก็คุ้มค่าในการค้นหา แต่ปัญหาคือ ผมจะพบมันได้ที่ไหนจากการอ่านแค่ 2-3 ประโยค แทนที่จะต้องตะบันอ่านมันทั้งเล่ม

The good

Stu’s message: we have a lot more energy available in the form of stored fat than we do in the form of sugar.  Fat-burning takes place when we exercise slowly and aerobically; sugar-burning happens when we’re exercising hard.  By doing most of our training at a very slow pace (heart rate less than about 75% of max) and consuming almost no sugar, especially not while running, we can train our bodies to burn fat longer and run farther.  (And Stu ran 1,000 miles in less than 12 days, so he should know!)
There are a few other positives, mostly the form of motivation.  For example, Stu contends that “the wall” is simply a construct invented by people trying to sell us sugary sports nutrition products, and if we don’t focus on it, we won’t hit it.

  ข้อดีของหนังสือ
   สตูกล่าวว่า คนเรามีพลังงานอย่างเหลือเฟือที่สะสมในรูปของไขมันมากว่าในรูปของน้ำตาล การเผาผลาญไขมันจะเกิดขึ้นเมื่อเราออกกำลังกายช้าๆและต่อเนื่องแบบ aerobically การเผาผลาญน้ำตาลจะเกิดขึ้นอย่างเร็วและทันทีที่เราออกกำลังกายอย่างหนัก
    ในการฝึกเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ(โดยกำหนดให้หัวใจเต้นน้อยกว่า75%ของการเต้นสูงสุด) ซึ่งการกระทำดังกล่าว แทนที่ร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาล มันจะหันมาเผาผลาญไขมันแทน(โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะวิ่ง) ซึ่งพลังงานจากไขมันสามารถใช้ได้ทนนานกว่าและสามารถวิ่งได้ระยะทางยาวกว่า (Stuฺ ทำให้เห็นแล้วว่า เขาสามารถวิ่งกว่า 1000 ไมล์ ในเวลาน้อยกว่า 12 วัน)

The bad

Stu did a great job of getting me pumped up to change my diet and training regimen to reach levels of endurance I’ve never dreamed of.  The problem: I’m still not sure what to do differently to achieve said endurance.  While a training plan is outlined, it’s pretty standard.  Lots of slow miles, a little bit of tempo running, and an interval workout here and there, all done with a heart monitor.  The diet is a little different in that there’s almost no sugar in it, not even much fruit.  But I was left wondering what to eat, if not sugar, during long runs.  The book is all running without sugar; is it crazy to expect that the guy might tell me what to eat (and how much, and how often) while I’m running?
 ข้อด้อย
    Stu ได้ผลักดันให้ผมระมัดระวัง ในการเลือกอาหารการกินและยังคอยวางกฎเกณฑ์การฝึกเพื่อจะก้าวถึงระดับที่เรียกว่า"ความทนทาน" (ซึ่งผมไม่เคยคิดฝันมาก่อน) ปัญหาก็คือผมไม่แน่ใจในสิ่งที่จะทำ ว่า มันจะทำให้เกิดความแตกต่างเพื่อบรรลุถึงคำว่า"ทนทาน"หรือไม่
  ในขณะที่แผนการฝึกคร่าวๆ (แต่มันดูมีมาตรฐานดีทีเดียว) ในระยะทางหลายๆไมล์ที่วิ่งไปตามจังหวะอย่างช้าๆ กับการเผาผลาญพลังงานจากการออกกำลังกายนั้น การเต้นของหัวใจจะอยู่ภายใต้การเฝ้าดูแลและควบคุม อาหารที่กินแทบไม่มีน้ำตาลอยู่เลย(แม้จะกินผลไม้จำนวนมากสักเท่าไรก็ตาม) ผมก็ยังงงไม่หายว่า ผมจะกินอะไรดี เพื่อจะไม่ต้องมีน้ำตาลในระหว่างการวิ่ง(ระยะยาว) ซึ่งหนังสือทั้งเล่ม จะกล่าวถึงแต่การวิ่งโดยไม่ใช้น้ำตาลเป็นพลังงาน ซึ่งมันดูออกจะเพี้ยนไปหน่อยนะที่จะคอยให้ ใครสักคนมาคอยบอกในขณะที่ผมกำลังวิ่งว่า ผมควรจะกินอะไร เท่าไรและบ่อยแค่ไหน 

The (very) ugly

There’s a weird, out-of-place section near the beginning of the book, about a harmlessly-named topic called “muscle testing.”  Some type of stretching or diagnostic test to determine fitness level, right?  Nope, far stupider.  It’s about holding a food in one hand while your friend presses down on your other arm and you try to resist their pushing.  If your muscles stay strong and you resist, congratulations — your body “wants” the food; eat up!  If your muscle weakens, it’s your body’s way of telling you through some weird telepathic powers that the food you’re holding is bad for you.
I’m trying to think of something funny to write about this, but I can’t.  I’m too pissed off at it.  To read about other angry people debunking it with statistics and this weird new thing called “science,” just Google “applied kinesiology muscle testing.”
So all in all, not a great book.  The ideas are intriguing, and I’ll certainly try to incorporate the fat-burning thing by weaning myself off sugar during and before runs.  But just read my post about when I saw Stu Mittleman speak, and you’ll get the gist of it.  Better yet, you’ll save 12 bucks, a few hours, and the embarrassment of having your spouse muscle-test you while you hold a biscotti and an avocado.  Sorry, Erin; it won’t happen again.
Last thing: I wrote more about Slow Burn on Running Shorts today; check that out if you’re interested.
ที่แย่สุดๆ
   มันมีอะไรแปลกๆและไม่สอดคล้องกันตั้งแต่บทแรกๆแล้วเกี่ยวกับ หัวข้อ "การทดสอบกล้ามเนื้อ" การยืดเส้นยืดสาย หรือการทดสอบในบางท่า จะทำไปเพื่อแค่วัดระดับความฟิตกระนั้นหรือ? ไม่หรอก มันบ้าและแย่ไปกว่านั้นมาก

  มันเปรียบเสมือนให้คุณถือออาหารไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วให้เพื่อนคุณกดแขนอีกข้างที่เหลือ แล้วให้คุณออกแรงต้านไว้ แล้วทึกทักเอาว่า ถ้ากล้ามเนื้อคุณมีแรงต้านไว้ได้ ก็หมายความว่าร่างกายของคุณต้องการอาหารนั้น ก็จงกินเข้าไป แต่ถ้ากล้ามเนื่้อคุณอ่อนแอจนคุณต้านไม่ไหว ก็หมายความว่าร่างกายคุณกำลังส่งผ่านสัญญาณบางอย่าง ว่าอาหารนั้นไม่ดีต่อคุณ

  ผมพยายามที่จะคิดว่า ผมกำลังเขียนเรื่องตลกนี้อยู่ แต่ผมก็ขำไม่ออก ผมกำลังโมโหอย่างมาก จากการได้อ่านพบ ว่าคนอื่นต่างก็โมโหโกรธาต่อสถิติ(ที่กล่าวยกมาอ้าง)และความคิดแผลงๆ ที่คิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์จากการอ้างอิงถึง Googleเท่านั้น(ใน Google คุณ ค้นหาคำว่า“applied kinesiology muscle testing.”ได้)

   ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่ใช่หนังสือที่ดีเลย แม้แนวคิดจะน่าสนใจ และผมก็ตั้งใจจะรวบรวมสิ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันและวิธีการการออกห่างจากน้ำตาลเข้าด้วยกัน ทั้งก่อนและระหว่างการวิ่งแต่ละครั้ง
   เพียงแค่อ่านการโพสต์ของผมตอนที่ผมได้พบเห็นการพูดของเมตโดแมน แล้วคุณจะได้เข้าใจใจความสำคัญของมัน ที่ดีไปกว่านั้น คุณยังจะได้ประหยัดเงิน 12 เหรียญ กับเวลา 2ชั่วโมงและความรู้สึกอึดอัดขณะรับการทดสอบ (ในขณะที่มือข้างหนึ่งคุณกำขนมปังกรอบของอิตาลีและผลอะโวกาโดไว้ด้วยกัน )

   ผมต้องขอโทษเอรีน(ภรรยาผม) ผมรับรองว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว ...