วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

วันนี้ขอ......ปั่น...ปั่น...ปั่น

เมื่อ..วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558


ปั่นไปสารสิน...ตามแผน


  มีคำแนะนำว่า......การไปสะพานสารสิน ต้องตื่นแต่เช้ามืด(ตี5เป็นอย่างช้า) แต่วันนี้...ตื่นตั้งแต่ตี4ครึ่งเพราะถูกปลุกด้วยท้องใส้ที่ปั่นป่วน..ในกะเพาะมีแก๊สคอยส่งเสียงร้องครวญครางรบกวนอยู่ตลอดเวลา(ท้องอืด)...สภาพร่างกายดูเหมือนไม่เหมาะที่จะไปสารสินคนเดียว..ตามที่โม้เอาไว้ในบทความก่อนหน้านี้เสียแล้ว..

   ตอนแรกคิดว่าจะระงับแผนการไป(ตามคำแนะนำของความคิดด้านลบ) โดยอ้างสภาพร่างกายไม่เต็มร้อย..แต่ความคิดด้านบวกก็โต้แย้งว่า..

 ..ถ้ายอมถอยเพราะปัญหาเล็กๆแค่นี้..ชีวิตก็จะมีแต่การยอมแพ้ตลอด..เอาไงเอากัน..ไปเสี่ยงเอาดาบหน้าแล้วกัน...ลุย


เริ่มที่อนุสาวรีย์ ประมาณ 5:39

    จับเสือหมอบคู่ใจใส่ท้ายกะบะ ไปเริ่มต้นกันที่อนุสาวรีย์แล้วกันเพื่อระยะทางจะได้ลดลงมาและสามารถกลับทันก่อนที่แดดเดือนเมษาฯมันจะเผาจนแขนละลาย


    ออกจากอานุสาวรีย์ประมาณ 5:40 ปั่นไปคนเดียวด้วยความเร็วสม่ำเสมอสบายๆ เฉลี่ย 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยแทบไม่หยุด(ได้พักตอนไฟแดงครั้งเดียว) ตอนช่วงทางแยกเข้าหาดในยาง ได้พบเพื่อนร่วมทางคันหนึ่งที่ปั่นค่อนข้างช้า..กล่าวคำทักทายและขอปั่นแซงล่วงหน้าไปก่อน 

    ระหว่างทางก็มีรถใหญ่เล่นผ่านหน้าไปประปราย สภาพท้องถนนยามเช้าค่อนข้างจะปลอดภัย การจราจรไม่แน่นหนาเหมือนช่วงเส้นทางระหว่างตัวเมืองกับอนุสาวรีย์

     ระหว่างจะถึงโค้งคอเอน(โค้งเจ้าปัญหา) มีนักปั่นหนุ่ม2คนปั่นแซงหน้าไปด้วยความเร็วกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเกาะกลุ่มไปด้วย(คิดแล้วก็ตามไปได้ประมาณ 3กิโล) แต่ดูๆแล้วน่าจะเก็บแรงไว้ตอนขากลับดีกว่า..ต้องเชื่อภาษิตโบราณ "เห็นช้างถ่ายก็อย่าถ่ายตามช้าง"(คำสุภาพ)

    มาถึงหาดทรายแก้วเมื่อเวลา 6:54 ถือว่าทำเวลาได้ดีพอสมควร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง กับ 9 นาที



หาดทรายแก้ว; นำ้เซาะตลิ่งจนใกล้ถนนเข้ามา ในทุกวันนี้




ชายหาดโล่งสวยงาม ไม่มีร้านอาหารเกะกะรกตา

    ว่าจะไปให้ถึงสะพานโดยไม่แวะหาดทรายแก้ว แต่ก็นึกเสียดายโอกาสเพราะขากลับจะไม่ผ่านทางนี้..ก็เลย...


คลื่นที่หาดทรายแก้ว


     แวะพักเหนื่อยหยุดพักขาที่หาดทรายแก้ว เข้าห้องน้ำกลางหาว(เยี่ยวข้างทาง-แปลตรงตัว)แล้วเก็บภาพทิวทัศน์ทะเลแบบ ดิบๆ..

   ดูๆแล้ว..ชายฝั่งทะเลตะวันตกของเกาะภูเก็ต โดยเฉพาะหาดนี้ ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาทุกปี จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ชายหาดห่างจากถนนมากกว่านี้..อีกหน่อยถนนคงจะถูกกัดขาดเหมือนที่สมิหรา สงขลา

   อยู่ที่หาดทรายแก้วประมาณ 10 นาที ก็รีบไปต่อที่สะพานสารสินที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักทันที (เพราะกลัวจะร้อนแดดตอนกลับ)








    มองเห็น สะพานสารสินอยู่ข้างหน้า ก็ 7 โมงเช้าพอดี ไม่ได้ปั่นขึ้นสะพานใหม่เพื่อข้ามฝั่งเพราะไม่มีแผนที่จะข้ามฟากไปฝั่งพังงา(สงวนไว้ในโอกาสที่จะข้ามไปเที่ยวพังงาในอนาคตอันใกล้-คุยอีกแล้ว)..แต่มุ่งตรงไปที่จุดชมวิวบนสะพานเก่าทันที..แม้จะเคยแวะมาที่นี่หลายครั้งแต่ความรู้สึกครั้งนี้แปลกไป 

    มาครั้งนี้ไม่ได้เติมน้ำมันรถมาเต็มถัง..แต่ต้องเติมน้ำเปล่ามาเต็มท้อง...ไม่ได้มาด้วยความเร็วจากแรงจักรกลพลังฟอสซิล...แต่มาอย่างช้าๆด้วยพลังแรงข้าวต้มที่ถูกจัดสรรกำลังลงบน2ขา...แล้วปั่นมาเต็มแรง....

    ข้อจำกัดที่มี..ต้องเลี่ยงปะทะกับแสงแดดและลมร้อนยามสายๆ.. ต้องคอยระวังอาการลมแดดโดยจะต้องคอยเติมน้ำหล่อเย็นให้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา..นี่แหละ...ความรู้สึกของความแตกต่าง..



 บนจุดชมวิว มีเราอยู่เพียงคันเดียว
       7.06 บนจุดชมวิว สะพานสารสินเก่า

    มาถึงสารสิน ยังไม่เห็นนักปั่นคนอื่นบนสะพาน(จุดชมวิว) เห็นคนอยู่สองสามคนมาเดินชมสารสินเก่า กับคนตกปลาอีก2คน  แต่อีก 10 นาทีต่อมาเพื่อนร่วมอุดมการณ์จักรยานก็เริ่มทะยอยกันมาพร้อมกันบนจุดชมวิว 




พบเพื่อนใหม่ มาจากเมืองภูเก็ต...แข็งแรงกันทั้งนั้น






   ได้ทักทายและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทางบนสะพาน นักปั่นคนหนึ่ง เธอเรียกตัวเองว่าป้าวี (อาจจะพูดตามคำที่หลานๆเรียก) เป็นผู้หญิงที่แข็งแรงมากคนหนึ่งเธอออกจากบ้านที่ซอยพะเนียง สามกอง มาถึงสารสินใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที กับระยะทาง 40 กิโลเมตร ซึ่งทำเวลาได้ไม่เลวสำหรับนักปั่นผู้หญิง แล้วไหนก็ต้องปั่นกลับไปอีก นี่ก็ถือว่าสุดยอดนักปั่นหญิงอีกคน




ป้าวี ยืน Act ท่าบนสพานแค่ 15 นาที แล้วปั่นกลับทันที..อีก40กิโลเชียวนะ



     ทุกคนใช้เวลาอยู่บนจุดชมวิวประมาณ 15 นาที ก็หันมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเป็นที่รู้ความหมายว่า "เรากลับกันเถอะ" เพราะทุกคนต่างก็มีภาระกิจ แม้การอยู่ชื่นชมความสำเร็จแค่ 15 นาทีที่ดูจะไม่คุ้มกันกับระยะทางที่ปั่นมาด้วยแรงสองขาถึง 40 กิโล แต่เราก็ตั้งใจมาเพื่อชนะตัวเองต่างหาก..เอาละ..เผยความลับดีกว่า..ทุกคนไม่อยากอยู่นานเพราะกลัวการปั่นฝ่าแดดเดือนเมษาตอนสายๆ..ผิวแทบละลายไปกับแสงแดดทีเดียว

     ...ได้เวลาเหนื่อยและผจญแดดกันแล้ว...

    เราออกปั่นกันที่ละชุด ชุดผมเป็นชุดสุดท้าย(ความจริงก็มีกันแค่ 2 ชุดเท่านั้นแหละ-แค่พูดให้ใหญ่เข้าไว้) ผมปั่นตามหลังป้าวี แบบสบายๆตามแก เราผ่านตรวจภูเก็ตแบบชิลชิล..มาจนเกือบจะถึงด่านหยิดอยู่แล้ว ผมนึกได้ว่า มีภาระกิจต้องรีบกลับ ก็เลยขออนุญาตุป้าวี ปั่นล้ำหน้ามาก่อน ..ด้วยเวลานัดที่กระชั้น(เพราะสายแล้ว) ก็เลยต้องอัดหนักกว่าขามานิดหนึ่ง กว่าจะถึงอนุสาวรีย์ ก็ต้องแวะกินน้ำถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ปัมป์ ปตท.เมืองใหม่ และครั้งที่สองที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 บ้านพอน



กินน้ำครั้งแรก ปตท.เมืองใหม่
แวะกินน้ำครั้งที่สอง ที่ 7-11 บ้านพอน



      ขณะที่ปั่นมาถึงหน้าปัมป์แก๊สคาลเท๊กซ์บ้านพอน-อนุสาวรีย์ฯ อาการปวดเข่าด้านซ้ายก็กำเริบขึ้น ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้ ก็เลยโดนชุดหนุ่มขาแรงประมาณ 10 คัน ปั่นแซงไปด้วยควาเร็วเกิน กว่า 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยความเร็วขนาดนี้ถึงขาผมจะไม่เจ็บ ผมก็จำต้องปล่อยเขาไปก่อนด้วยความเต็มใจ......เพราะความเร็วแบบยืนระยะขนาดนั้น...ผมทำได้ไม่เกิน 32 km/h.







ทำระยะทางแค่ 63.13 กิโล ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี (เกินกว่านี้ไม่ดีแน่)



ใช้เวลา 2:30:03 ชั่วโมง...ก่อนสิ้นสภาพนักปั่น


   กลับถึงบ้านก็สะบักสะบอมพอสมควรกับการปั่นเกิน 60 กิโลเป็นครั้งแรก ที่ร้ายที่สุด..มันเป็นการปั่นแบบไม่เจียมสังขาร สรุปได้ว่า ครั้งนี้ได้รับผลลัพธ์  3 อย่าง คือ 
       1  เหนื่อย(แม้จะไม่มากนัก) 
       2  บาดเจ็บเข่าด้านซ้าย 
       3 ได้ความสะใจที่ทำได้ 
       4 ถือเป็นการชนะตัวเอง(เพราะเอาชนะคนอื่นไม่ได้ แต่ปวดก้นชะมัด)