วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ท่านุ่น กับ เรือเหล็ก

    ผมได้เขียนถึงสะพานสารสินไป 2-3ครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงการข้ามฟากแต่ไม่ค่อยได้เน้นย้ำถึงท่าเทียบแพเลย จึงอยากจะเล่าให้คนรุ่นใหม่(ทีเผลอมาอ่านบทความนี้)ให้รู้จักท่าเรือที่มีชื่อเรียกแบบพื้นๆแห่งนี้ให้รู้จักเพื่อจะได้ลองแวะเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ของที่นี่สักครั้ง


สะพานท้าวเทพฯถ่ายจากถนนฝั่งท่านุ่น

ท่าเทียบแพขนานยนต์



รถหนังขายยา(หนังเร่)บนเรือเหล็กที่ข้ามมาจากภูเก็ตมาขึ้นฝั่งที่ท่านุ่น

     นานๆจะมีรถจากกรุงเทพฯมาข้ามแพที่นี่สักครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นรถฉายหนังเร่หรือที่เรียกกันว่า "หนังขายยา" จะข้ามจากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะภูเก็ตด้วยแพขนานยนต์ ซึ่งคำเรียก"แพขนานยนต์"นี้ จะไม่เป็นที่คุ้นหูชาวบ้านในสมัยนั้นนัก ท่าเทียบแพขนานยนต์จะถูกเรียกว่าท่าเรือ"ท่านุ่น" ส่วนฝั่งตรงข้ามเรียก ท่าเรือ "แหลมหรา" ส่วนตัวแพขนานยนต์ คนภูเก็ตจะเรียกแบบให้เกียรติชาวพังงาว่า"เรือท่านุ่น" แต่ชาวบ้านท่านุ่นกลับเรียกแพขนานยนต์ว่า 
          " เรือเหล็ก " ไปเสียอีก



         ท่านุ่นและท่าฉัตรชัยต่างถูกใช้เป็นท่าข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งตั้งแต่ครั้งยังไม่มีแพขนานยนต์ ท่าทางฝั่งซ้ายของช่องปากพระเรียกว่า "ท่านุ่น" ส่วนฝั่งขวาเรียกว่าท่าฉัตรชัย หากมองท่านุ่นจากท่าปากแหว่งที่อยู่ติดกัน ก็จะเห็นท่านุ่นได้ชัดเจนแต่แปลกตาไปอีกแบบ โดยความเห็นส่วนตัวแล้วสันนิษฐานว่า บริเวณที่ตั้งของท่านุ่นน่าจะเกิดจากการถมดินบนป่าชายเลน เนื่องจากที่ตั้งท่าเรือยื่นเป็นแหลมอยู่ระหว่างคลองท่านุ่นกับทะเลช่องแคบปากพระ กรมเจ้าท่าจึงได้ถมที่ให้เป็นคันดินกว้างบนพื้นป่าชายเลนแล้วตัดถนนลาดยางมะตอยลงบนคันดินเป็นระยะทางยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร 

   
คลองท่านุ่น อยู่ด้านหลังของท่าเรือท่านุ่น






   กระบวนการลงแพ  

   การข้ามฟากเป็นกระบวนการง่ายๆไม่ซับซ้อน เริ่มตั้งแต่รถเริ่มลงแพ จัดตำแหน่งจอด ปิดระวางแพ แพออกจากท่าและจะเสร็จสิ้นกระบวนการเมื่อรถคันสุดท้ายขึ้นพ้นจากแพ เมื่อรถขึ้นจากแพจนครบหมดทุกคัน รถที่จอดรอแพบนท่าจะเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อจะเริ่มกระบวนการลงแพในเที่ยวต่อไป 

    การลงแพจะต้องรอเจ้าหน้าที่บนแพให้สัญญาณจึงจะเคลื่อนรถลงแพได้ตามลำดับก่อนหลัง การลงแพต้องทำด้วยความระมัดระวังและเข้าจอดสลับซ้ายขวาในตำแหน่งที่เจ้าหน้าที่บนแพจัดให้จนกว่ารถจะเต็มระวาง การข้ามฟากทุกเที่ยวจะวนเป็นรอบแบบนี้จนถึงเที่ยวแพเที่ยวสุดท้ายของวัน 

    พื้นที่ระวางบนแพมีความกว้างเท่ากับ 2ช่องจราจรบนถนน เปิดให้บริการตั้งแต่ตี 5ถึง 2ทุ่ม นอกเหนือจากเวลานี้จะต้องยื่นคำร้องขอใช้บริการเป็นกรณีพิเศษจากนายท่าและต้องจ่ายค่าธรรมเนียม(เรียกว่าถูกปรับ)ที่แพงมากในยุคนั้น




ภาพฝั่งท่านุ่นปี 2502 จากภาพยนต์ส่วนพระองค์

  


ท่าเทียบแพ เหลือให้เห็นเพียงแค่นี่ ในปัจจุบัน








ท่าลงแพขนานยนต์อันเสื่อมโทรมในปัจจุบัน


  ต่อมาแพรุ่นเก่าที่ใช้น้ำมันขี้โล้เป็นเชื้อเพลิงถูกแทนที่ด้วยแพรุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ที่ทรงพลังกว่า บรรทุกน้ำหนักได้มากและแล่นได้เร็วกว่า แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการถูกปลด ลดภารกิจในท้ายที่่สุด เมื่อมีสิ่งที่ใหม่กว่ามาแทนที่ 
    การข้ามฟากที่ใช้แพขนานยนต์เป็นพาหนะหลักสิ้นสุดลงเมื่อสะพานข้ามทะเลแห่งแรกของประเทศสร้างแล้วเสร็จและถูกเปิดใช้งาน ในปี 2510 ตอนนั้นสะพานเป็นของใหม่ที่สามารถลดข้อจำกัดของการเดินทางได้ดีกว่าแพขนานยนต์ ในระยะแรกมันถูกรับหน้าที่ให้บรรทุกรถหนักที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นสะพาน แต่ต่อมาเมื่อกรมทางหลวงอนุญาตให้รถยนต์ทุกประเภทขึ้นสะพานได้โดยไม่จำกัดน้ำหนัก แพขนานยนต์ก็หมดภารกิจไปโดยปริยาย 
    
ถนนเรียบทะเลไปยังท่านุ่นสมัยปัจจุบัน

      
      ชุมชนท่าเรือท่านุ่นและท่าฉัตรชัยแทบเป็นชุมชนร้างในช่วงเปลี่ยนผ่าน รถที่ข้ามสะพานสารสินเป็นครั้งแรกต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่  สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์รูปโค้งที่ครอบทะเล สลับกับการมองไปยังขอบฟ้าตรงช่องแคบปากพระที่อยู่ไม่ไกลจากสะพาน 


ปากบาง ท่านุ่น



    เรื่องราวเก่าๆถูกลืมจนเกือบหมด เหลือแค่เกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆเพียงบางส่วนที่เก็บรวบรวมจากคำบอกเล่าของคนยุคแพขนานยนต์กับหลักฐานภาพถ่ายเก่าๆที่ถูกบันทึกไว้โดยตากล้องสมัครเล่น แต่น่าเสียดายที่ภาพถ่ายเหล่านั้นมีจำนวนน้อยจนยากที่จะนำมา"เล่าด้วยภาพ" นอกจากการปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างระมัดระวังในเนื้อหาจากคำบอกเล่าของคนเก่าๆที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่คน








วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สารสิน- ช่องปากพระกับจักรยาน

     ตอนผมปั่นจักรยานไปสารสินครั้งที่แล้วได้มีโอกาสไปยืนบนท่าเทียบแพเก่าฝั่งท่าฉัตรชัยอยู่คนเดียว นึกถึงความหลังย้อนไปถึงวันเก่าๆครั้งที่เคยข้ามไปมาระหว่างฝั่งพังงาและฝั่งภูเก็ตด้วยแพขนานยนต์ตรงช่องแคบปากพระ ความทรงจำเก่าๆก็พรั่งพรูออกมาจนอยากเล่าให้คนรุ่นใหม่ๆฟัง




บนท่าเทียบแพขนานยนต์

น้ำทะเล ตรงช่องแคบปากพระ 
    ช่องปากพระคือทางออกสู่ทะเลอันดามัน เป็นจุดแคบที่สุดกว้างประมาณ 660เมตร อยู่ระหว่างแผ่นดินใหญ่ฝั่งพังงากับเกาะภูเก็ต ใช้ เป็นจุดข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งตั้งแต่อดีต ต่อมาเมื่อความเจริญทางคมนาคมยุคใหม่มาถึง กรมทางในสมัยนั้น(กรมทางหลวงปัจจุบัน)ได้จัดให้มีแพขนานยนต์ลำเลียงพาหนะข้ามฟากไปมาระหว่างสองฝั่งส่วนกรมเจ้าท่ารับผิดชอบสร้างท่าเทียบ ท่าเทียบแพฝั่งพังงามีชื่อเรียกว่าท่านุ่น ส่วนฝั่งภูเก็ตเรียกว่าท่าฉัตรชัย

        การข้ามแพ :

    ก่อนพ.ศ.2510 การข้ามฟากจากฝั่งแผ่นดินใหญ่พังงาไปยังเกาะภูเก็ตใช้เวลาอยู่บนแพขนานยนต์  ราว 10-15 นาที มีแพประจำท่าอยู่สองลำแล่นสวนกันไปมา บางครั้งเมื่อเครื่องยนต์ของแพลำใดลำหนึ่งเกิดขัดข้อง ก็เหลือแพแค่ลำเดียว ต้องเสียเวลารอแพที่อยู่ฟากตรงข้ามกลับมารับอีกประมาณ 15-20 นาที รวมเบ็ดเสร็จ ใช้เวลาในการข้ามฟาก 25-35 นาทีโดยประมาณ 



รถลงแพฝั่งท่านุ่น


      การข้ามแพจะต้องคอยแพเข้าเทียบท่า ระหว่างรอเที่ยวแพ คนส่วนใหญ่จะกินขนมจีนเป็นการฆ่าเวลา เส้นขนมจีนที่ท่านุ่นท่าฉัตรชัยถูกจัดแบ่งเป็น " ลูก " (ทางใต้เรียกขนมจีนเป็น "ลูก" เท่ากับคำว่า"จับ"ในภาษากลาง)จัดเรียงในตะกร้าหวายคลุมด้วยผ้าขาวบางกันสิ่งสกปรกและแมลงวันตอม เมื่อลูกค้าสั่งขนมจีน แม่ค้าจะหยิบขนมจีน 3-4 ลูกใส่ถ้วย สังกะสี(ถ้วยเหล็กเคลือบ)ราดน้ำแกงจนท่วมเส้นส่งไปยังโต๊ะลูกค้า บนโต๊ะมีผักเกร็ด(ผักเคียง)ใส่ถาดวางไว้ให้หยิบกินกับขนมจีนตามสะดวก  ขนมจีนที่นั่นจะกินคู่กับไข่ต้ม หรือ ปาท่องโก๋  มันดูแปลกๆในสายตาคนภาคอื่นแต่มันก็เป็นวัฒนธรรมการกินอย่างหนึ่งของที่นั่น



ภาพคุณยายหม่อย เจ้าของร้านขนมจีนยุคนั้น



รถโดยสารกำลังขึ้นจากแพฝั่งท่าฉัตรชัย ปี 2495


         ต่อมาเมื่อสะพานสารสินถูกเปิดใช้งานในปี 2510 แพขนานยนต์ถูกเลิกใช้โดยปริยาย รถแล่นข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งอย่างสะดวกและรวดเร็วบนสะพานเล็กๆที่สร้างแบบง่ายๆราคาถูก(28.77ล้านบาทในยุคนั้น) ด้วยคานและตอหม้อสะพานอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลสูงสุดไม่มากนัก เรือเล็กจะสามารถลอดผ่านได้เฉพาะตอนน้ำลงเท่านั้น ทางแล่นบนสะพานแบ่งเป็น2ช่องจราจร พอให้รถสวนไปมาแบบสบายๆ  สะพานช่วยย่นเวลาการข้ามฟากจาก 25-35 นาทีจนเหลือ 2 นาทีโดยประมาณ ความเร็วที่เพิ่มขึ้น 12-17 เท่า ทำให้ท่าเทียบแพถูกทิ้งให้เป็นท่าร้างไปโดยปริยาย แพขนานยนต์ถูกโอนไปใช้งานที่ท่าหัวเขาแดงจังหวัดสงขลา 



The old bridge

    ภาพรถจอดรอแพขนานยนต์ทั้งสองฝั่งหายไป พฤกติกรรมการกินขนมจีนระหว่างรอแพเลิกไปตามกาลเวลา ภาพการชูถาดใส่อาหารเหนือไหล่ เร่เสนอขายสินค้าข้างรถโดยสารหายไปพร้อมๆกับพ่อค้าแม่ค้าเร่ข้างรถที่ต่างต้องปรับตัวผันย้ายมาเร่ขายบนรถโดยสารสาธรณะที่โคกกลอยแทน ร้านขายขนมจีนทั้งสองฝั่งหายไป พ่อค้าแม่ค้าทั้งฝั่งท่านุ่นและท่าฉัตรชัยต่างต้องเลิกอาชีพที่ทำมาหลายปีไปอย่างถาวร

     ความเจริญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางอย่างมีนัยสำคัญ สะพานสารสินได้ลบความทรงจำเกี่ยวกับแพขนานยนต์จนเหลือเป็นตำนาน คนรุ่นใหม่นึกภาพบรรยากาศการข้ามฟากด้วยแพขนานยนต์ไม่ออก ความทันสมัยมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ แต่มันก็ทำลายวิถีดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นบางเสี้ยวไป




สะพานเก่า ก่อนถูกแปรสภาพเป็นจุดชมวิว


     หลายปีต่อมาเมื่อการจราจรแออัดขึ้น สะพานข้ามทะเลอีกแห่งถูกสร้างมายืนคู่กับสะพานสารสิน มันใหญ่และใหม่กว่าแต่การออกแบบและรูปลักษณ์เข้ากันได้ไม่ดีนักกับสะพานเก่า
    รถแล่นข้ามฝั่งไปมาวันละร่วมหมื่นคันแต่มีน้อยคันนักที่จะแวะทักทายอดีตของที่นี่ การข้ามฝั่งที่รวดเร็วขึ้นทำให้ท่านุ่นท่าฉัตรชัยเป็นแค่จุดผ่าน การข้ามฟากใช้เวลน้อยลงเหลือ 1.5 นาที..เร็วกว่าความเร็วสูงสุดในอดีตบนแพขนานยนต์ ถึง 17-20 เท่า  



สะพานใหม่ที่สุด - กำลังจะมา ช่วยย่นระยะเวลาลงได้ อีก 0.3 นาทีโดยประมาณ

   


สารสินกับจักรยาน :

    จากการที่สารสินเคยเป็นจุดห่างไกลอยู่ทิศเหนือสุดของเกาะ แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักปั่นจักรยานสมัครเล่นไปแล้ว ด้วยความยาวจากหัวเกาะถึงท้ายเกาะวัดได้ 43กิโลเมตรนับเป็นระยะทางที่เหมาะสมในการปั่นทางไกลที่จบได้ภายในวันเดียว การปั่นไปกลับ 86กิโลเมตรเปรียบเป็นประกาศนียบัตรประจำตัวของนักปั่นสมัครเล่นที่ภูเก็ต การปั่นไปสารสินสัปดาห์ละครั้งกลายเป็นกิจวัตรและคำคุยโตที่นักปั่นทุกคนต้องมีไว้เล่า แต่ทุกครั้งที่ไปสารสิน นักปั่นเหล่านี้จะแวะพักเหนื่อยบนจุดชมวิวไม่เกิน15นาทีแล้วจะปั่นกลับทันที    

   ตอนปั่นไปสะพานสารสินครั้งแรก ผมกำหนดจุดเริ่มต้นที่สี่แยกท่าเรือ ใช้ความเร็วในการปั่นสม่ำเสมอโดยไม่แวะพัก มาถึงหาดทรายแก้วระยะทาง31กิโลเมตรใช้เวลา 1 ชั่วโมง กับ 16นาที ได้แวะพักเหนื่อยและทำธุระส่วนตัวที่หาดทรายแก้วประมาณ15นาที ก่อนที่จะปั่นต่อไปอีก1กิโลเมตรก็ถึงจุดชมวิวสารสินซึ่งที่นั่นเป็นจุดพบปะของนักปั่นที่มีจุดหมายปลายทางที่สารสิน มีนักปั่นหลายคนที่ปั่นตามหลังมาตอนที่ผมแวะพักที่หาดทรายแก้ว ทุกคันล้วนไปถึงจุดหมายก่อนหน้าผมทั้งหมด




   จุดชมวิวที่สารสินเป็นจุดพักจุดสุดท้ายของการปั่นขาไป ทุกคนจะถ่ายรูปวิวสวยๆยามเช้าไว้เป็นที่ระลึก เวลา15นาทีเป็นเวลาที่เพียงพอกับการพักเหนื่อยก่อนกลับ การทักทายเพื่อนนักปั่นด้วยกันคือธรรมเนียมปฏิบัติ การเดินทางกลับทันทีคือสิ่งที่ทุกคนทำ ผมเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ถึงจะหมดแรงหรือจะเหนื่อยแค่ไหนแต่เมื่อไม่มีแผนจะปั่นไปฝั่งพังงาก็ต้องรีบกลับตามอย่างคนอื่นก่อนที่จะต้องกล่าวคำทักทายซ้ำๆกับนักปั่นชุดใหม่จะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า 





       กลับถึงท่าเรือ(อนุสาวรีย์ท้าวเทพฯ)อย่างความปลอดภัย รวมระยะทางไปกลับ 62 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่งโมงครึ่ง(หักเวลาพักแล้ว) ใช้พลังงานไป 850 กิโลแคลอรี่