วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เบื่อๆก็ข้ามไปเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก(อ่าวไทย)ดูบ้าง

    ถ้าจะพูดถึงชายฝั่งทะเลไทยทางฝั่งตะวันตกหรือที่รู้จักกันในนามฝั่งอันดามันแล้ว เชื่อว่าคนไทยทุกคนแทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทะเลทางชายฝั่งอันดามันเป็นทะเลที่มีน้ำใสและสวยที่สุดในประเทศไทย แต่จะว่าไปแล้ว การคิดเช่นนี้ก็เป็นการคิดแบบเหมารวมจนเกินไป จึงอาจจะมีข้อโต้แย้งคำโตว่า แล้วทะเลฝั่งตะวันออกไม่มีสวยบ้างเลยหรือ ก็ขอฟันธงตอบแบบสั้นๆทันทีได้เลยว่า สวยเหมือนกันและสวยไม่แพ้ทะเลทางฝั่งอันดามันเลยทีเดียว

อันดามันของแท้


ตะวันลับฟ้าทางฝั่งอันดามัน

 
เกาะนางยวน จากฝั่งอ่าวไทย( ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://pantip.com/topic/31978267)

    มาดูหมู่เกาะน้ำใสทรายสวยโดยการเริ่มต้นที่พื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันเลย เกาะพงันกลางอ่าวไทยตอนกลางที่คนไทยไม่คุ้นเคยและไม่เป็นที่นิยมากเนื่องจากไปยากแต่กลับเป็นที่รู้จักในนามของเกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวรักอิสระชาวตะวันตก(โดยเฉพาะหนุ่มสาวประเภทฉายเดี่ยว) แทบทุกคนจะมุ่งมั่นไปที่งานฟูลมูลปาร์ตี้อันลือลั่น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ล่าสุด(ปี2557)มีข่าวการฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจนกระจายไปทั่วโลก ก็ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาเฉลยปัญหาให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติกันเอาเองดีกว่า เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครได้ไปเที่ยวที่นี่กันมากนัก เอนเอียงที่จะไปที่หมู่เกาะอ่างทองกันมากกว่าเพราะหมู่เกาะอ่างทองเหมาะที่จะเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่มีใครปฏิเสธว่าหมู่เกาะอ่างทองสวยและน่าไปเยือน
      ขึ้นไปอีกหน่อยจากเกาะพงันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ45กิโลจะถึงเกาะนางยวน ซึ่งเป็นเกาะที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้องรับให้ได้ว่าสิ่งของทุกอย่างบนเกาะแพงกว่าปรกติมากจนไม่สนองตอบต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยนัก จึงขอไถลขึ้นไปทางทิศตะวันออกแทน ไกลอีกนิดก้ทะลุทะลุภาคตะวันออกของไทย จะพบหมู่เกาะทางฝั่งตะวันออกของอ่วไทยตั้งแต่เกาะสิชังไปเรื่อยไปจนถึงเกาะช้างเกาะกูด สถานที่สำคัญบนบกที่มองข้ามไม่ได้ คือหาดพัทยา 
    หาดพัทยาขึ้นลือชาว่าเคยเป็นถิ่นของทหารอเมริกันยุคสงครามเวียตนามในอดีตที่เป็นผู้มาบุกเบิกจนหาดพัทยาเจริญรุ่งเรืองจนเป็นสวรรค์ของนักเที่ยวฝรั่งในยุคต่อมาและสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นจนหมู่บ้านชายทะเลเล็กๆอย่างพัทยาเติบโตขยับขยายพื้นที่เมืองจนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีขนาดพื้นที่เมืองใหญ่จนต้องมีระบบการบริหารส่วนท้องถิ่นแบบพิเศษที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา
    ก่อนที่พัทยาจะโตขนาดนี้ พัทยาในอดีตเคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนไทย(คนกรุงเทพฯ)ยุคก่อนปี 2505 ที่ไกล้กรุงเทพฯที่สุด เป็นเมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านกีฬาทางน้ำประเภทสกีน้ำและมักถูกนำมาเป็นฉากของภาพยนต์ไทยแทบทุกเรื่องในยุคนั้น พัทยามีบังกะโลหรูไว้บริการสนองตอบความเป็นส่วนตัวสำหรับคู่หนุ่มสาวที่มาค้างแรมสุดสัปดาห์ 
    ทุกวันนี้พัทยาเริ่มเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่แออัดตามลักษณะของเมืองใหญ่แบบกรุงเทพฯ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยจำนวนไม่น้อยจะใช้พัทยาเป็นที่พักหรือเป็นเมืองผ่านเพื่อลงไปเที่ยวเกาะกลางทะเลตะวันออก และเกาะที่ขึ้นชื่อและใกล้ฝั่งพัทยาที่สุดคือเกาะล้าน


น้ำทะเลใสบนเกาะล้าน



กรวดและเปลือหอยบนหาดตายาย เกาะล้าน


แทรคเตอร์ใช้ลากจูงบนเกาะล้าน




   จะเกาะล้านไปกันยังไง?
     การจะไปเกาะล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว เพียงท่านจับรถมาให้ถึงท่าเรือบาลี ฮาย(Bali Hai Pier) พัทยาใต้ แล้วเลือกเอาว่าจะไปแบบส่วนตัวโดยการเช่าเหมาเรือหรือจะใช้บริการเรือโดยสารประจำทางที่ให้บริการตลอดวัน โดยเรือโดยสารประจำทางจะไปเทียบท่าที่ท่า"หน้าบ้าน" อัตราค่าโดยสารคนละ 30 บาทต่อเที่ยว
    ปรกติ จากกำหนดการเดินเรือ เรือจะออกจากท่าบาลี ฮาย ตามกำหนดการ ตั้งแต่เวลา 7.00น.เป็นต้นไป เรือจะให้บริการเที่ยวสุดท้ายจะออกเวลา 18.30น. ส่วนเที่ยวกลับ จากท่าหน้าบ้าน(บนเกาะล้าน) เรือจะออกเที่ยวแรกเวลา 6.30น. เที่ยวสุดท้าย เวลา 18.00น.

รายละเอียดเที่ยวเรือ:
เที่ยวขาไป จากพัทยาใต้ไป ท่าหน้าบ้าน(เกาะล้าน)
07:00
10:0012:0014:0015:3017:0018:30

จากท่าเรือแหลมบาลีฮาย(พัทยาใต้) ไปท่าหาดตาแหวน(เกาะล้าน)
08:00
09:00
11:00
13:00


เที่ยวขากลับจากเกาะล้าน

จากท่าหน้าบ้าน(เกาะล้าน) กลับ ท่าเรือแหลมบาลีฮาย(พัทยาใต้)
06:30
07:30
09:30
12:00
14:00
15:30
16:00
17:00
18:00

จากท่าหาดตาแหวน(เกาะล้าน) กลับ ท่าเรือแหลมบาลีฮาย(พัทยาใต้)
13:00
14:00
15:00
16:00
17:00

   แต่ในทางปฏิบัติในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ เรือไม่ได้ออกตามเวลาที่กำหนดแต่จะออกตามจำนวนผู้โดยสาร เต็มลำเรือเมื่อไรออกทันที ขอแนะนำว่า การขึ้นท่าบนเกาะล้านที่สะดวกสะบาย ให้ไปขึ้นที่ท่าหน้าบ้านจะสะดวกที่สุด

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชายหาดที่หายไป ของฝั่งท่านุ่น

    เคยเขียนถึงสารสินไป 2-3ตอน ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงแต่แพขนานยนต์กับการข้ามฟากไปมาระหว่างฝั่งพังงาและภูเก็ตแต่ไม่ค่อยได้เน้นย้ำถึงรายละเอียดของท่าเทียบแพทั้งสองเลย เชื่อว่าคนรุ่นใหม่คงจะไม่รู้จักชื่อพื้นๆของทั้งสองท่านี้และคงมีน้อยคนนักที่จะเคยจอดรถแวะทักทายคนท้องถิ่นที่นี้

      แพข้ามฟากถูกเรียกเป็นทางการว่าแพขนานยนต์แต่คนพื้นเพภูเก็ตดั้งเดิมเรียกว่าเรือท่านุ่น ส่วนคนในถิ่นที่นี่กลับเรียกว่าเรือเหล็ก ดังนั้นท่าเทียบแพขนานยนต์ก็น่าจะถูกเรียกว่า "ท่าเรือเหล็ก "
 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการ  

     เมื่อมองท่านุ่นจากท่าปากแหว่งก็จะเห็นสภาพของท่านุ่นแปลกไปจากที่เห็นทั่วไป โดยความเห็นส่วนตัวแล้วเห็นว่า ที่เทียบแพฝั่งท่านุ่นทั้งหมดน่าจะเกิดจากการถมดินบนป่าชายเลนมาสร้างท่าเทียบแพขนานยนต์ มีถนนผ่ากลางมาจนถึงท่าเทียบแพ การสร้างท่าเทียบมาขวางกระแสการไหลของน้ำทะเลทำให้เกิดปราการกั้นทราย พื้นดินจากฝั่งขวาของช่องแคบปากถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนโค้งเว้าเข้าไปแล้วพาทรายมาทับถมรอบบริเวณด้านหน้าของท่าเทียบแพจนเกิดเป็นหาดทรายขาวสวยงาม



ภาพหาดทรายขาวฝั่งท่านุ่น ปี 2502


   จากการบอกเล่าของ ผู้ใหญ่บ้านท่านุ่นคนปัจจุบัน(ผู้ใหญ่สมเกียรติ)เล่าว่าพื้นที่ท่านุ่นในอดีตเป็นหาดทรายทอดยาวลงไปในทะเลทางทิศตะวันออกไปไกลหลายร้อยเมตร แต่จากกการสร้างท่าเทียบแพในยุคนั้นทำให้ชายหาดทางฝั่งซ้ายของท่าเทียบแพถูกกระแสน้ำกัดเซาะหายไปจนเหลือแต่พื้นน้ำจนไม่เหลือร่องรอยของหาดทรายให้เห็นจนปัจจุบัน

  หลังจากที่มีการสร้างสะพานสารสินในปี 2510 คอสะพานกลายเป็นปราการกั้้นน้ำทะเลขึ้นมาอีกชั้นอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยอิทธิพลของกระแสน้ำที่ถูกขวางจนเกิดการหมุนวนอันสืบเนื่องมาจากการสร้างสะพานสารสินทำให้เกิดประการกีดขวางกระแสน้ำตามธรรมชาติ ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งทำให้หาดทรายอันสวยงามของท่านุ่นตรงช่องแคบปากพระถูกกัดเซาะจนเว้าแหว่งลึกเข้าไปในพื้นดินมากยิ่งขึ้น ประการที่เกิดจากการก่อสร้างสะพานทำให้หาดทรายด้านซ้ายของคอสะพานฝั่งพังงาหายไปจนหมดแต่มีหาดทรายงอกขึ้นมาทับถมบนด้านขวาของคอสะพานทดแทนนับเป็นแผ่นดินงอกที่เป็นผลประยชน์กับเจ้าของที่ดินอย่างมหาศาล


  จากจุดแคบสุดที่จะใช้ข้ามฟากตรงฝั่งท่านุ่นมีสภาพอยู่ในแนวป่าชายเลน  ทางกรมเจ้าท่าจึงต้องถมที่ป่าชายเลน(เป็นการสันนิษฐานส่วนตัว)เป็นถนนเรียบริมทะเลและสร้างเขื่อนหินกั้นกันการกัดเซาะตลิ่งไปเชื่อมกับท่าข้ามป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ที่ดินถมดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่ดินกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย



ภาพเขื่อนกันการกัดเซาะถนน ฝั่งท่านุน่น


      ฝั่งท่านุ่นในอดีตร่มรื่นอยู่ภายใต้ร่มมะขามที่ปลุกเป็นทิวแถว มีร้านขนมจีนเจ้าอร่อยอยู่3เจ้าด้วยกัน ปลูกติดต่อกันอยู่ด้านซ้ายของถนน แต่ร้านที่ขึ้นชื่อเป็นที่ติดใจของนักเดินทางยุคนั้นคือร้านของคุณยายหม่อย ร้านขนมจีนทุกร้านจะหันหน้ารับลมทะเล รถที่จอดรอแพทางฝั่งท่านุ่นจะจอดด้านขวาของถนน




คุณยายหม่อย เจ้าร้านของขนมจีนที่อร่อยที่สุด ฝั่งท่านุ่น



    แนวถนนที่ตัดไปยังท่าเทียบแพท่านุ่นเป็นถนนราดยางมะตอยบนแนวคันดิน(กว้างประมาณ 150 เมตรโดยประมาณ)บนผืนป่าชายเลน ปลายสุดของถนนทอดยาวไปไปจรดทิศตะวันออกของช่องแคบปากพระติดกับท่าปากแหว่ง ส่วนท่าเทียบแพขนานยนต์จะสร้างตั้งฉากกับแนวถนน ท่าเทียบแพหรือท่าข้ามจะสร้างลงไปในทะเลหันไปทางทิศใต้ในทิศตรงข้ามกับท่าฉัตรชัยฝั่งเกาะภูเก็ต
     
      

ภาพเก่า- ท่าฉตรชัย ขณะเหล่าพสกนิกรกำลังรอรับเสด็จ
คราพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จภูเก็ตใน ปี 2502

         การสร้างท่าเทียบแพขนานยนต์

   ท่าเทียบแพทางฝั่งท่านุ่น สร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรง มีช่องเทียบย่อยจำนวน 5 ช่องเทียบ แพขนานยนต์จะเข้าเทียบท่าตามช่องโดยขึ้นอยู่กับระดับน้ำทะเลขึ้นลง ท่าเทียบแพจะตั้งฉากกับถนนลงท่า รถยนต์ทุกคันที่มาจอดรอแพจะหันด้านคนขับหาชายทะเล แม้ถนนจะค่อนข้างแคบแต่ก็พอให้รถสามารถแล่นสวนกันได้สบาย   เมื่อรถคันสุดท้ายขึ้นพ้นจากแพ รถรอลงแพที่จอดรอบนถนนคิวแรกก็จะเริ่มสตาร์ทเครื่องค่อยๆเคลื่อนรถลงแพตามลำดับก่อนหลังตามสัญญาณมือของเจ้าหน้าที่ประจำแพขนานยนต์

      การออกแบบสร้างช่องจอดเเพให้หันไปทางทิศตะวันออก ตรงข้ามกับช่องน้ำตรงช่องปากพระทั้งฝั่งท่านุ่นและท่าฉัตรชัยเป็นความชาญฉลาดของผู้ออกแบบ เมื่อกระแสน้ำพัดทรายมาจากบริเวณปากพระจากทั้งสองฝั่งมาชนด้านหลังของท่าเทียบ(ทำให้ช่องเทียบแพไม่ถูกทรายถม)  ท่าเทียบแพทั้งสองฝั่งกลายเป็นกำแพงกั้นทรายมากองรวมกันตรงด้านหลังของท่าจนเป็นเกิดชายหาดที่สวยงามไปทั้งสองฝั่ง










เมือสะพานเกิด กฏการลงแพก้ถูกยกเลิก



    จากความคิดที่ว่าความล่าช้าในการข้ามฟากเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว แนวคิดการสร้างทางข้ามเกาะจึงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1 ดังนั้นความคิดที่จะเชื่อมเกาะภูเก็ตเข้ากับแผ่นดินใหญ่จึงเป็นความคิดก้าวหน้าของคนในพ.ศ.นั้น

    ความเจริญทางเศรษฐกิจในยุคนั้น ส่วนหนึ่งมีรายได้มาจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่จากฝั่งทะเลอันดามัน บริเวณ จังหวัดภูเก็ต พังงาและจังหวัดระนอง การผลิตแร่ดีบุกทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นที่นี่ดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศ มีผู้คนมากมากเข้ามาทำมาค้าขายที่นี่การสัญจรไปมาก็เริ่มเป็นอุปสรรคจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ความแออัดล่าช้าในการข้ามฟากจึงเกิดขึ้น 

   ความต้องการสะพานข้ามเกาะจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหา แนวคิดการถมถมทะเลเชื่อมเกาะภูเก็ตกับแผ่นดินใหญ่แห่งแรกของประเทศกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วน มันจึงถูกบรรจุลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1

   โครงถมทะเลเริ่มดำเนินการในปี 2494 โดยบริษัทรับเหมาสัญชาติญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง(ไม่ปรากฏชื่อ)เข้ามารับเหมาดำเนินการก่อสร้าง โดยใช้หินแกรนิตมาถมเชื่อมต่อตัวเกาะภูเก็ตกับแผ่นดินใหญ่ ออกมาจากทั้งสองฝั่งให้มาบรรจบกันกลางทะเล วัสดุหินแกรนิตฝั่งพังงามาจากไหนไม่ปรากฏแต่ทางฝั่งภูเก็ตหินทุกก้อนมาจากการระเบิดภูเขาที่บ้านคอเอนซึ่งห่างจากท่าฉัตรชัยประมาณ5กิโลเมตร
   การก่อสร้างประสพปัญหาเนื่องจากการะแสน้ำเชี่ยวตอนขึ้นและลงได้พัดพาก้อนหินช่วงตอนกลางช่องแคบหลุดไปกับกระแสน้ำในทะเล หลังจากการถมหินลงไปแล้วประมาณด้านละ200เมตร บริษัทผู้รับเหมาได้ประสพภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถสร้างแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างจนต้องละทิ้งงานและทิ้งเครื่องจักรไว้ที่ไซส์งานเป็นจำนวนมาก

 การก่อสร้างยุคใหม่
  การก่อสร้างได้่เริ่มต้นอีกครั้งในสมัยนายพจน์ สารสินเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ โดยได้ว่าจ้างบริษัท Cristiani &Nelson(Thailand) Ltd.มาสานต่อโครงการณ์ในส่วนที่เหลืออีก330เมตรกลางทะเล
   ด้วยหลักวิศวกรรมสมัยใหม่ มีการสร้างตอหม้อสะพานในทะเลแบบตอหมอเดี่ยวรองรับคานสะพาน บนช่องจราจรแค่สอง ระดับคานสะพานสูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดไม่มากนัก การก่อสร้างได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นท่ามกลางข่าวลือต่างๆนานาแต่ก็แล้วเสร็จภายในเวลากำหนดจนเปิดใช้งานเป็นทางการได้ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2510 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 28,770.00 บาทรวมระยะก่อสร้างทั้งสิ้น 13 ปี แพขนานยนต์ก็ตกยุคตั้งแต่บัดนั้นพร้อมๆกับกฏของการลงแพก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
      

    สะพานแล้วเสร็จ ยุคแพก็สิ้นสุด

    กฏง่ายๆของการลงแพ

   รถคันไหนเครื่องยนต์เกิดขัดข้องระหว่างการลงแพ รถคันนั้นจะถูกตัดสิทธิ์การลงแพไปโดยปริยาย รถคันหลังจะลัดคิวลงแพแทนทันที รถลงแพได้จำนวนจำกัดตามขนาดและน้ำหนักของรถที่เจ้าหน้าที่บนแพจพชะเป็นผู้กำหนด เมื่อรถคนสุดท้ายลงจนเต็มแพแล้ว รถที่ลงแพไม่ได้ก็ต้องรอแพเที่ยวหน้า







สะพานท้าวเทพกระษัตตรีถ่ายจากถนนฝั่งท่านุ่น


    

      เมื่อมีสะพานมาแทนแพ
    ท่าเทียบแพเก่าถูกปล่อยร้าง ซัลเฟตจากน้ำทะเลกัดเซาะจนเสื่อมสภาพและเป็นที่เกาะของเพรียงทะเล มีสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีระเบียบโดยรอบท่ามาบดบังความสวยงาน 
   หากลองจินตนการเอาสิ่งก่อสร้างขยะรอบๆท่าออกไป จะห็นความสวยงามผุดขึ้นมาในความนึกคิดถึงสีสันของการข้ามฟากในสมัยก่อนขึ้นมาในจินตนาการ นึกถึงภาพน้ำทะเลกระเพื่อมตอนแพเข้าใกล้ฝั่ง เสียงหวูดแพดังเตือนให้รถที่รอแฟอยู่บนฝั่งเตรียมตัวเพื่อการลงแพ
     การที่สะพานสารสินถูกสร้างต่อจากโครงสร้างงานเก่า คอสะพานจึงเป็นเป็นแนวกันทรายขึ้นมาโดยปริยาย เกิดหาดทรายที่งอกใหม่ตรงคอสะพาน  ส่วนหาดทรายเก่าบนฝั่งทั้งท่านุ่นถูกกระแสน้ำซัดหายไปสู่ธรรมชาติอีกครั้ง
   




สภาพท่าเทียบแพ ท่านุ่นตอนน้ำขึ้น ปัจจุบัน
  
     ธรรมชาติเป็นทรัพยากรที่มีค่า การใช้ประโยชน์จากที่ดินแค่เป็นอาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวไม่คุ้มกับคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของฝั่งทะเลอันดามัน
   ก่อนที่ความทรงจำของคนรุ่นเก่าจะถูกเพิกเฉยและหายไปโดยไม่มีการบันทึกเรื่องราว นอกจากคำบอกเล่าจากความทรงจำของคนรุ่นเก่าที่พากันล้มหายตายจากไปทีละคน สมควรที่หน่วยงานท้องถิ่นจะจัดรวบรวมเรื่องราวและเหตุการณ์ในอดีตเป็นกรณีย์ศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและจัดให้มีการดูแลรักษาของเก่าให้คงสภาพธรรมชาติไว้ 
   การทบทวนวางแผนอนุรักษ์และปลุกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาที่มาที่ไปของท้องถิ่นเป็นสิ่งจำเป็น ท่านุ่นคือสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของชายฝั่งทะเลอันดามัน เป็นทรัพย์ทางจิตใจของคนทั้งสองฝั่ง แม้แพจะจากไป และท่าเทียบแพจะร้าง แต่ความทรงจำก็ยังคงอยู่กับคนทั้งจากฝั่งท่านุ่นของพังงาและฝั่งท่าฉัตรชัยของภูเก็ต 



ขอนินทาฝรั่งสักวัน

   ผมมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติที่เป็นคนผิวขาวหรือที่เรียกกันว่าฝรั่งอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผมเปิดร้านอาหารเล็กๆ มีลูกค้าฝรั่งที่คุ้นเคยชอบพอกันอยู่หลายคนเนื่องจากการเปิดใจรับการวิจารณ์ตลอดจนรับฟังการปรับทุกข์และเข้าร่วมวงนินทาคนไทยร่วมชาติที่นิสัยไม่ดีเป็นบางครั้งจึงมีโอกาสได้มีอารมณ์ร่วมในการด่าคนไทยกับพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ฝรั่งที่ชอบดูแคลนคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นฝรั่งทีมีภรรยาเป็นคนไทยกันทั้งนั้น บ้างก็พอพูดไทยได้รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยเกษียณมาอาศัยชื่อภรรยาทำธุรกิจเล็กๆประเภทร้านอาหาร คนฝรั่งเหล่านี้มีมุมมองต่อคนไทยค่อนข้างเป็นลบ พวกเขาเหล่านี้คิดว่าได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตจากภรรยาของเขาเหล่านั้นดีและพอเพียงแล้ว
      สรุปมุมมองต่อคนไทย โดยฝรั่งจะมองคนไทยว่า
1 คนไทยคิดถึงเรื่องเงินเป็นอันดับแรก
2 คนไทยส่วนใหญ่ขี้เกียจไม่สู้งานหนัก
3 คนไทยชอบโกงคนต่างชาติโดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์รับจ้างและแท๊กซี่
4 ผู้หญิงไทยจำนวนมาก ทำงานในธุรกิจค้ากาม
5 คนไทยส่วนใหญ่ยากจนแต่ชอบโอ้อวดใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่มีเหตุผลเช่น การซื้อรถโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย
6 ผู้หญิงไทยที่อยากมีสามีฝรั่งด้วยเหตุผลเพราะอยากสบายและการมีชีวิตที่ดีกว่า
7 คนไทยส่วนใหญ่แยกคำว่า Request กับ borrow ไม่ออก จึงมักไว้ใจไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ  ทองๆ(ยืมเงินแล้วมักไม่ยอมคืน)
8 คนไทยไม่ชอบแสดงความคิดเห็น ชอบคล้อยตามเพราะไม่มีความคิด จึงเป็นการเสียเวลาที่จะสนทนากับคนไทย
9 คนไทยชอบดูถูกคนที่มีสถานะต่ำกว่า
    (ผมเขียนคำว่าคนไทยจนเมื่อยมือ เพราะฝรั่งมันไม่พูดเรื่องคนพม่าหรือคนเขมรให้ผมฟังเลย)

  ข้อปฏิบัติที่ผมค้นพบว่าต้องทำเพื่อเป็นต้องแก้ลำฝรั่งเหล่านี้
1 เลิกนับถือบ้าเห่อฝรั่งให้เป็นนิสัยประจำชาติไปเลย
2 เวลาต้องการเรียกความสนใจให้ฝรั่งหันมา ให้เริ่มคำว่า Excuse me ทุกครั้ง(ห้ามเริ่มด้วยคำว่า เฮ้เป็นอัดขาด)
3 อย่ายิ้มโดยไม่สมเหตุผล เพราะพวกนี้จะเรียกยิ้มสยามของเราว่าCrazy smileและไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องยิ้ม
4 ถ้าจะให้ความช่วยเหลือใคร ต้องถามก่อนว่า Can I help you ?ทุกครั้งเพราะคนฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่ช่วยเหลือคนที่ไม่ขอร้อง
5 พบเห็นคนฝรั่งมากับครอบครัวและมีเด็กที่น่ารักมาด้วย อย่าเพิ่งไปรบกวนหรือขออุ้มเด็กเป็นอันขาดจนกว่าจะรู้จักและสนิทสนมกันแล้ว แล้วค่อยบอกพวกเขาว่า ลูกคุณน่ารักจัง
6 คำว่า ขอบคุณเป็นแค่ธรรมเนียม ไม่ใช่หมายความว่าเขาจะซาบซึ้งอะไรคุณ
7 การเริ่มสนทนาครั้งแรก อย่าถามเรื่องส่วนตัว การถามว่าคุณมาจากประเทศไหนดูเป็นการดีแต่ส่วนใหญ่ คุณจะไม่ได้พบเขาอีกเลย(ผมทำลูกค้าหายไปเยอะก็เพราะไปสนใจตัวเขาจนเขารู้สึกอึดอัด)
8 ระวังการตอบรับคำเชิญไปกินอาหารค่ำกับฝรั่งสองต่อสองเมื่อพบกันครั้งแรก เขาจะคาดหมายเอาว่า เรื่องจะไปจบลงบนเตียง อันนี้ผมไม่ทราบว่าจะจริงแค่ไหน แต่จากประสพการณ์เท่าที่เห็น มักจะเป็นเช่นนี้จริง(ไม่ขอเล่ารายละเอียด)
9 การคบกับฝรั่งให้ยั่งยืน ต้องยึดระบบ ต่างคนต่างจ่ายและให้เคารพเรื่องเวลา(ผมก็เคยตกม้าตายเรื่องเวลามาแล้ว)
10 เมื่อคบกับฝรั่ง อย่าให้มีบุคคลที่สามเข้าไปเกี่ยวข้อง นอกจากเขาจะออกปากเชิญก่อน
11 การไปเยี่มเขาถึงบ้านถือเป็นโอกาสพิเศษมากๆ ถ้าเขาเชิญเรา เขาจะต้อนรับด้วยความจริงใจ
12 หลังจากไปตามคำเชิญ ควรใช้เวลาไม่เกิน2ชั่วโมงแล้วรีบลากลับ
13 การที่เขาปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพังแล้วเขาหันไปทำงานอื่นสามารถแปลเป็นภาษามนุษย์ได้ว่า "ขอเชิญคุณกลับได้แล้ว"
14 ห้ามไปเยี่ยมฝรั่งแบบไม่นัดหมายโดยเฉพาะตอนเวลาอาหาร
15 มีฝรั่งเจ้าของภาษาหลายคน ฟังภาษาอังกฤษของคุณไม่ออก ดังนั้นเวลาพูดภาษาอังกฤษ ถ้าคุณพูดได้ชัดและถูกต้องก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าพูดเร็วแบบผิดๆถูกๆหรือพยายามเลียนแบบสำเนียงพวกเขาจนเกินไป เขาจะรู้สึกลำบากเพราะฟังไม่เข้าใจและอึดอัดที่จะคุยด้วย
16 เวลาสนทนากันอย่าพยายามแสดงให้เขารู้ว่าคุณกำลังจะเรียนภาษาอังกฤษกับเขา จะทำให้การสนทนาไม่ยืดยาว การคุยกันคือการเรียนที่ดีอย่างหนึ่ง ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ถามได้อย่าทำเป็นเข้าใจแล้วทำอะไรผิดๆเขาจะเข้าใจผิดว่า คุณไม่รักษาสัญญา
17 ถ้าคุณจะชวนเขาไปเที่ยวควรบอกด้วยว่าจะกลับเมื่อไรและต้องรักษาสัญญาตามนั้น

    นิสัยของฝรั่งส่วนใหญ่(Expat ที่เข้ามาอาศัยในเมืองไทย)
1 รักความยุติธรรมตามแบบฉบับของฝรั่ง ไม่ชอบให้ใครเอารัดเอาเปรียบแต่ชอบต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ
2 ชอบอ่านหนังสือคนเดียว ขณะอ่านหนังสืออย่าไปรบกวนอย่างเด็ดขาด
3 ชอบการนัดหมายที่เป็นกิจลักษณะ ถ้าไปเยี่ยมโดยไม่นัดหมาย จะถือเป็นการพบโดยบังเอิญ ถ้าเขาไม่แสดงท่าทีว่าจะมีเวลาให้ เราจะทำได้แค่ทักทายเสร็จแล้วต้องรีบลากลับทันที
4 การต้อนรับขับสู้จะเป็นไปตามกรณีเท่านั้น ดังนั้นการได้รับเชิญไปกินอาหารในบ้านฝรั่งจึงถือเป็นกรณีพิเศษจริงๆ ถ้าไม่ได้รับเชิญหรือไม่ได้แจ้งให้ทราบก็ไม่ควรไปมาหาสู่(โดยพาะตอนใกล้เวลาอาหาร)
5 ส่วนใหญ่มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง ฝรั่งเคยชินกับการอยู่แบบสังคมเดี่ยวแบบครอบครัวเล็กๆและเป็นส่วนตัว มาก หากใครมีโอกาสไปเยี่ยมเขาที่ต่างประเทศ(แม้จะเกี่ยวดองกันแล้ว)จะต้องไม่ไปรบกวนเรื่องอาหารและที่พักอย่างเด็ดขาด
6 มีความคิดที่เสมอภาคเป็นพื้นฐาน ดังนั้นถ้ามีการใช้ของร่วมกันจะต้องมีการแชร์ค่าใช้จ่ายทุกครั้งนอกจากเขาจะบอกหรือตกลงล่วงหน้าว่า เขาจะเป็นคนจ่าย
7 มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เวลาคุยต้องมองหน้าและจ้องมองตา(ไม่ต้องถึงกับถลึงตาใส่) การพูดจาอ้อมค้อมและไม่มองหน้าขณะพูดคุย เขาอาจจะไม่เข้าใจแม้เราจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีแค่ไหนก็ตาม
8 ชอบการพูดจาที่มีเนื้อหาชัดเจนบนข้อมูล การพูดภาษาอังกฤษเก่งคือการพูดให้เขาเข้าใจ ไม่ได้หมายถึงพูดให้ได้สำเนียงเหมือนเขา อย่าใช้คำโตขณะพูดคุยให้ใช้คำง่ายๆพื้นๆ และอย่ามั่ว อย่าพูดพึมพำในลำคอจะกลายเป็นความไม่จริงใจต่อคู่สนทนา


วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กินเจกินผักทีภูเก็ต

   ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีนี้ ตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม 2558 เป็นวันเริ่มเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต (หลังประเพณีเดือนสิบของคนไทยในภาคใต้ 1 วันของทุกปี) คนส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ตจะเข้าร่วมพิธีกินเจในเทศกาลกินผัก(ที่จัดขึ้นทุกปี)เป็นเวลา9วัน ไม่ว่าจะด้วยความศรัทธาหรือเพื่อความสะดวกในการหาอาหารใส้ท้อง ก้ต้องกินเจกันโดยปริยายเพราะในช่วงเวลานี้ ร้านอาหารทั่วไปปรกติจะปิดร้านกันหมดส่วนที่เหลือจะหันมาทำอาหารเจจำหน่ายกันอย่างครึกครื้น

   ปีนี้ราคาผักในตลาดแพงมากสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศแต่ประชาชนก็ยังเข้าร่วมพิธีกันทั้งเมือง ส่วนผู้เขียนไม่ได้เข้าร่วมพิธีเป็นทางการแต่ก็กินอาหารเจอย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยภาระจำยอม หนึ่งปีหนึ่งหนถือเป็นการพักท้องพักกะเพาะจากการต้องย่อยเนื้อและไขมันสัตว์สักระยะ ผลที่ได้โดยตรงคือ น้ำหนักจะลดเพราะอาหารที่กินเข้าไปมีปริมาณน้อยลงและยังย่อยง่าย

   การจัดการด้านอาหารการกินแยกเป็น3กลุ่มคือ กลุ่มที่ปรุงอาหารกินเองที่บ้าน กลุ่มที่ไปหิ้วปิ่นโตจากศาลเจ้าและกลุ่มสุดท้ายที่เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นคือการไปกินอาหารเจที่ศาลเจ้ากันอย่างสมถะแบบถ้อยทีถ้อยอาศรัย โดยเฉพาะที่ศาลเจ้าสะพานหิน มีอาหารให้บริการถึงวันละ4รอบ กินกันแบบแบ่งปันช่วยกันล้างจานด้วยตัวเองไม่มีอาหารเปิบพิศดารแต่มีอาหารเพียงพอไว้คอยบริการทุกคนที่แวะมา

    วันที่ 21 ตุลาคม 2558(ขึ้น9ค่ำ เดือน11) จะเป็นวันกินผักวันสุดท้าย โดยศาลเจ้าที่จะแห่ขบวนชมเมืองเป็นขบวนสุดท้ายของปีคือศาลเจ้าหล่อโรงซึ่งก็เป็นขบวนที่ไม่ใหญ่นักจึงไม่เป็นปัญหากับการจราจรเหมือนกับ2-3วันที่ผ่านมา ส่วนช่วงกลางคืนนับแต่ 21.00น เป็นต้นไป บนท้องถนนก็จะครึกครึ้นกันอีกครั้งด้วยขบวนแห่ทำพิธีส่งพระที่ปลายแหลมสะพานหินโดยจะทำพิธีปิดเทสกาลเจประจำปีที่นั่น

    9 วันกับกระบวนการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตช่วยยืออายุสัตว์ออกไป9วัน แต่ตั้งแต่คืนนี้จะเป็นการฆ่าเพื่อเป็นอาหารจะเพิ่มเป็นทวีคูณ สำหรับคำแนะนำต่อผู้ต้องการสร้างบารมีโดยการลดละการสนับสนุนการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและเพื่อการรักษาสุขภาพก็อยากเสนอแนะว่า หลังจากที่คุ้นเคยต่อการกินเจมาแล้ว9วัน ก็น่าจะลองละอาหารประเภทเนื้อต่อออกไปอีกสักสามวันเพื่อการทดสอบกำลังใจของตัวเอง ในการลดละการรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นที่รู้กันว่าจะเป็นประโยชน์กับสุขภาพ เมื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้(ไม่จำเป็นต้องหยุดโดยเด็ดขาด)แล้วอย่าลืมออกกำลังกายด้วยจะเป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัยของตัวเองและยังช่วยลดภาระงบประมาณด้านสาธารณะสุขของรัฐบาลไปในตัวอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วันสาร์ท






http://pantip.com/topic/31035869 ประเพณีแห่งานบุญเดือน10 ที่จังหวัด นครศรีธรรมราช


   มาถึงแล้วสำหรับวันสำคัญทางศาสนาที่สำคัญวันหนึ่งในประเทศไทย ปีนี้วันที่ 12 ตุลาคม 2558 ตรงกับ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นวันทำบุญตามความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย มีชื่อเรียกต่างๆกันตามแต่ละภาค
   คนภาคกลาง เรียกวันนี้ว่า วัน "สารทไทย" ภาคเหนือเรียก ตานก๋วยสลาก อีสาน เรียก วันทำบุญข้างสาก ส่วนภาคใต้เรียกว่า วันเดือนสิบเฉยๆก็เป็นที่เข้าใจแล้ว
   ที่ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราชจะจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดที่วัดพระมหาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ประเพณี "ชิงเปรต" เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในบริเวณจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออกเช่น นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันตก ไม่มีพิธีการดังกล่าว ส่วนใหญ่ก็แค่นำอาหารคาวหวานไปวัด ที่ขาดไม่ได้คือ ขนมลา (ที่ทำเป็นเส้นเล็กๆยาวๆ เชื่อกันว่าเป็นอาหารชนิดเดียวที่เปรตที่มีปากเท่ารูเข็มสามารถจะกินได้) 
   ส่วนขนมอื่นๆก็จะมีขนมท่อนไต้(ขนมเทียนของภาคกลาง) ขนมเทียน(ขนมนมสาว)และขนมต้มที่ห่อด้วยใบกะพ้อ
    วันนี้ถือเป็นวันทำบุญใหญ่ของชาวพุทธในภาคใต้(ส่งเปรตกลับ) ส่วนวันทำบุญเล็กหรือวันปล่อยเปรต ได้ทำมาแล้วตั้งแรม 1 ค่ำ เดือน10 ที่ผ่านมา..เอาละเดี๋ยวได้เวลาไปวัดกันแล้ว ตามความเชื่อของชาวพุทธทั่วไป วันนี้จะละเว้นไม่ได้เลย..ได้เวลาไปส่งญาติผู้ล่วงลับกันแล้วครับ
   รายละเอียดเกี่ยวกับประเพณีวันเดือน10ของไทย สามารถดูรายละเอียดได้ที่

          บทความ  วันสาทไทย ปี 2558
           

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หรือชาวอเมริกันอินเดียน "บื้อ" ที่มองคนขาวในแง่ดีเกินไป

   ทวีปอเมริกาเหนือคืออะไร?
   ตอบแบบง่ายๆ ทวีปอเมริกาเหนือก็คือพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของประเทศสหรัฐอเมริกากับแคนาดาปัจจุบันรวมกัน โดยมีคนผิวขาวเป็นชนกลุ่มใหญ่ของทวีปนี้ ทั้งๆที่คนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นั่นไม่ได้เป็นทั้งฝรั่งหรือคนผิวสีแต่กลับเป็นคนผิวเหลืองที่มีหน้าตาแบบคนเอเซียที่อพยพไปจากไซบีเรียทวีปเอเซียนี่เอง
   นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้ทำการศึกษาค้นคว้าและเชื่อว่าทวีปอเมริกาเหนือมีมนุษย์เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ยุคโบราณเป็นเวลากว่า 20,000ปีมาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในสมัยนั้นถ้าจะหาหลักฐานข้อเท็จจริงแบบชัดๆก็มีน้อยมากจนเอามายืนยันแทบไม่ได้ แต่เราก็สามารถคาดเดากันได้ว่า ช่วงเวลานั้นต้องเป็นช่วงเวลาที่ลำบากเป็นอย่างมาก มนุษย์กลุ่มแรกจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสมาชิกในกลุ่มจะต้องพึ่งพาอาศัยกันไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร กานแบ่งปันเครื่องนุ่งห่มกันความหนาวหรือการดูแลความปลอดภัยซึุ่งกันและกัน
   เมื่อสองหมื่นปีที่แล้ว ดินแดนที่เรียกว่าสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันแตกต่างจากทุกวันนี้โดยสิ้นเชิง พื้นทีที่เป็นทะเลทรายในปัจจุบัน มีบางส่วนเคยเป็นป่าทึบ ที่ราบทุ่งหญ้าบางแห่งเคยเป็นทะเลสาปมาก่อน แผ่นน้ำแข็งยักษ์(Glacier)เคยปกคลุมไปทั่วดินแดนแคนาดาปัจจุบัน
      มีสัตว์โบราณหลายชนิดที่มีลักษณะคล้ายสัตว์ยุคปัจจุบันเช่น ตัวบีเวอร์ยักษ์ที่ตัวใหญ่ขนาดเท่าหมี ตัวแมมมอทยักษ์ทีมีลักษณะบางอย่างคล้ายช้างในยุคปัจจุบัน  แม้แต่อูฐยักษ์แห่งทวีปอเมริกา(American camel) ก็มีอยู่กระจายครอบคลุมไปทั่วพื้นทวีป น่าเสียดายที่สัตว์เหล่านี้ต่างก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
    นักประวัติศาสตร์คาดเดากันว่า สมัยนั้นทวีปอเมริกาและเอเชียเคยเป็นดินแดนติดกันเชื่อมต่อกันด้วยสันดอนแคบๆบริเวณช่องแคบแบริ่ง.. ช่องแคบแบริ่งตอนนั้นมีช่องทางน้ำแคบๆเป็นตัวกั้นแบ่งแยกสองทวีปออกจากกัน นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า น้ำทะเลในทะเลแบริ่งและทะเลชัคชี่(Chukchi)ตอนนั้นมีระดับต่ำกว่าปัจจุบันมาก มีพื้นดินบางส่วนที่เป็นสันดอนโผล่เหนือน้ำตอนน้ำลงเปรียบเหมือนเป็นสะพาน ทำให้สัตว์บางส่วนเคลื่อนย้ายอพยบจากทวีปเอเซียไปหากินที่ทวีปอเมริกาผ่านทางสะพานดินแห่งนี้ เมื่อสัตว์เดินผ่านได้ มนุษย์นักล่าจากไซบีเรียในทวีปเอเซียก็ย่อมทำได้เช่นกัน มนุษย์ยุคนั้นได้ตามแกะรอยสัตว์ที่พวกเขาตามล่าไปถึงทวีปอเมริกา

   ****จากสภาพความเป็นจริงที่สอดคล้อง ช่องแคบแบริ่งปัจจุบันมีความกว้างเพียง53 กิโลเมตรและมีความลึกประมาณ 30-50 เมตรเท่านั้น จึงเป็นไปได้ที่สองหมื่นปีที่แล้วแผ่นดินอเมริการและเอเชียจะเชื่อมต่อกัน อ้างอิง: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87




ช่องแคบแบริ่ง ส่วนกว้างที่สุด 50 กิโลเมตร ความลึกเฉลี่ย30-50เมตร
    

    ทั้งอะลาสก้าและแคนาดา มีอากาศที่อบอุ่นกว่า สัตว์ที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียทางทวีปเอเซียจึงได้กระจายตัวลงมาทางใต้ไปทั่วตั้งแต่อะลาสก้าลงมา สัตว์เหล่านั้นได้เดินทางผ่านช่องทางแคบๆที่ไม่มีน้ำแข็งเกาะไปสู่พื้นที่ราบกว้างใหญ่ อาศัยกินหญ้าอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสัตว์เหล่านี้หยุดอพยพ มนุษย์นักล่าก็เลยลงหลักปักฐานล่าสัตว์อยู่ที่นี่ 
    ปัจจุบันระดับน้ำทะเลได้สูงขึ้นกว่าเดิมทำให้เส้นทางดังกล่าวได้จมหายไป สัตว์และมนุษย์เหล่านั้นจึงตกค้างเป็นสิ่งมีชีวิตประจำถิ่นของทวีปอเมริกาในเวลาต่อมา



ภาพจิตนาการมนุษย์ยุค40000 ก่อนปีค.ศ.


  อีกหลายปีต่อมานักล่าที่อยู่ในที่ราบใหญ่กลุ่มหนึ่ง ได้แยกตัวมุ่งหน้าไปยังที่ราบทางทิศตะวันตกในส่วนของเทือกเขาทางแปซิฟิค อีกส่วนก็มุ่งไปยังพื้นที่ที่มีป่าไม้ในที่ราบทางตะวันออกและที่ราบสูงอะปาลาเชี่ยน(Appalachian Highland)




สัตว์ พวกแมมมอท อูฐแห่งอเมริกาและบีเวอร์ยักษ์ ภาพตามจินตนาการ


     ภูมิอากาศเริ่มเปลี่ยนเมื่อ 6000 ปีที่แล้ว พืชพันธุ์หลายชนิดเริ่มสูญพันธุ์ สัตว์จำพวก บีเวอร์ยักษ์ แมมมอทและอูฐอเมริกันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับภาวะแวดล้อมใหม่ ต่างก็ล้มตายสูญพันธุ์ไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามกลุ่มนักล่ากลับสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้จากการเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำการเพาะปลูกแทนการล่าสัตว์เป็นอาหารเพียงอย่างเดียว






       ในปี 1586 เมื่อคนจากฝั่งทวีปยุโรปได้สำรวจพบทวีปอเมริกาและทึกทักเอาว่านี่คือโลกใหม่ ชาวยุโรปจึงเริ่มอพยพมาอเมริกาและได้เห็นชาวพื้นเมืองที่มีผิวสีแดงและใบหน้าคล้ายคนเอเชีย จึงเข้าใจว่าเป็นคนอินเดียน ชาวยุโรปกลุ่มนั้นจึงเรียกชาวพื้นเมืองว่า คนอินเดียนแดง(The Red Indian)
   เมื่อคนจากเกาะอังกฤษกลุ่มแรกอพยพมาอยู่ในอเมริการที่เรียกว่านิวอิงแลนด์ ในเบื้องต้นชาวอเมริกันอินเดียนเจ้าถิ่นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีในฐานะเจ้าบ้านสอนชาวยุโรปให้รู้จักเพาะปลูกข้าวโพด และมันฝรั่งเป็นอาหาร..อย่างไรก็ตามคนยุโรปกลุ่มแรกแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากชาวอินเดียนแต่ก็ต้องล้มตายลงเกือบครึ่ง.ในที่สุดฤดูหนาวแรกก็ผ่านไปด้วยดีชาวยุโรปกลุ่มนี้ได้ร่วมเฉลิมฉลองกับชาวพื้นเมืองจนเป็นประเพณี Thanks giving day ติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ 
   ตอนนั้นหากชาวอินเดียนรู้อนาคตว่าอะไรจะเกิดกับเผ่าพันธุ์ของตนก็คงจะปล่อยให้ชาวยุโรปจากเกาะอังกฤษกลุ่มนั้นอดหยากและหนาวตายกันจนหมดและอเมริกาคงมีรูปโฉมแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน(ยังมีต่อ)






วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Food banks ในอังกฤษ

 
Food bank คือสถานสงเคราะห์ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ยากไร้ ที่มีให้เห็นได้ทั่วไปในเกาะอังกฤษ เกิดจากกลุ่มประชาชนที่กำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจได้บริจาคอาหารเพื่อปรุงหรือเพื่อบริโภคแก่ผู้ยากไร้
    หมายความว่าทุกวันนี้คนในอังกฤษได้ประสพกับภาวะรายได้น้อยจนไม่พอต่อการหาซื้ออาหารซึ่งเป็นการผิดปรกติมากที่ทุกวันนี้ทั้งประเทศมีชาวอังกฤษหันมาใช้บริการนี้ถึงวันละ 500,000 คนเลยที่เดียว









 การถือกำเหนิด Foodbanks ขึ้นในเกาะอังกฤษ



Foodbank หลังแรกที่ Salisbury ในปี 2000

   ที่จริงแล้ว Food bank ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี 2000แล้ว แต่ที่เห็นเด่นชัดและกเิดการกระจายไปอย่างกว้างขวางก็ตอนแรงงานถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมากในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2008 และต่อมารัฐบาลก็มีนโยบายตัดเงินสวัสดิการสังคมลงในปี2013 เท่ากับเป็นการซ้ำเติมเพิ่มปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อยยิ่งขึ้น ส่วนการที่ราคาอาหารแพง ค่าไฟฟ้าที่ใช้กับฮีทเตอร์ในหน้าหนาวแพงขึ้น ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้กันถ้วนหน้า ซึ่งล้วนก็เป็นปัญหาที่ประดังมาพร้อมกันในขณะที่รายได้ยังเท่าเดิม





     มีประชาชนกว่า13ล้านคนทั่วเกาะอังกฤษที่ต้องใช้ชีวิตอย่างฝืดเคืองมีรายได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดความยากจนของประชาชนในสหราชอาณาจักร ช่างเป็นไปได้กับประเทศที่เคยยิ่งใหญ่มั่งคั่งที่สุดในโลกในอดีตที่ต้องมาประสพปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักในปัจจุบัน


อังกฤษในอดีต


Trussell Trust  คือกองทุนการกุศลทางด้านอาหารเพื่อสังคมของอังกฤษที่มีนโยบายให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ยากไร้เพื่อหยุดยั้งความหิวโหยในช่วงวิกฤติ ขณะนี้มีการขยายสาขามากกว่า420แห่งทั่วประเทศและมีเป้าหมายจะมีให้ครบทุกเมือในอังกฤษ








มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี






สาขาของTrussell Trust  foodbanks ที่กระจายอยู่ทั่วเกาะอังกฤษ



The Trussell Trust
  ปัจจุบันมีคนในอังกฤษทำงานต่ำกว่าระดับมีอยู่เป็นจำนวนมาก ค่าอาหารและพลังงานมีราคาสูงขึ้นในขณะที่รายได้ยังคงเดิม ล้วนเป็นปัญหาทำให้คนมีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพจนทำให้เกิดมีศูนย์บริจาคอาหารฉุกเฉินหรือ Food bank ขึ้นมา




    ในปี 2013-2014 Food bankได้แจกจ่ายอาหารให้กับคนรายได้ต่ำทั่วประเทศ  ถึง 913,138คนในการนี้เป็นการช่วยเหลือเด็กถึง 330,205 คน


คนจนเข้าคิวรับอาหาร







 มีอะไรในกล่องยังชีพของfood bankบ้าง
 ในแต่ละกล่องยังชีพที่แจก จะประกอบด้วยอาหารที่บริโภคได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ 3วัน ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เก็บไว้ได้นานไม่เสียง่าย เช่น นมกล่อง เนยถั่ว น้ำตาลทราย ข้าว เส้นหมี่ น้ำผลไม้กล่อง ผักกระป๋อง และของใช้เช่น สบู่ ฟองน้ำ เป็นต้น


อาหารประเภทเก็บไว้ได้นาน



ภายในถุงยังชีพ











 ถ้าไม่มี Food bank ผมคงได้กลับไปนอนข้างถนนแล้ว




 Mark
 อาสาสมัครคนหนึ่งที่ทำงานให้กับ Plymouth foodbank กล่าวว่า ในอดีตเขาเป็นคนติดสุราและอาศัยอยู่ข้างถนนมาร่วม22ปี  เขามาได้ชีวิตใหม่อีกครั้งที่นี่
   แต่เริ่มเดิมทีเขามาที่นี่ในฐานะผู้เข้ามาขอสงเคราะห์อาหารเหมือนคนอื่นๆแต่ทุกวันนี้เขาได้ทำงานเป็นอาสาสมัครให้องค์กรการกุศลแห่งนี้โดยเขาทำงานสัปดาห์ละ4วัน

    "หากไม่มี Food bank ผมคงต้องกลับไปเร่ร่อนบนท้องถนนอีกเป็นแน่ ต้องเมาหยำเป ขโมยฉกฉวยอาหารกินไปตามประสา .. Food bank ได้ชุปชีวิตผมอีกครั้ง มันเป็นเหตผลที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาต่อสู้ชีวิตอีกครั้ง ผมชอบที่จะพูดคุยกับผู้คน ชงชาให้พวกเขาดื่ม เพื่อได้มีโอกาสได้ตอบแทนที่ Food bank ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม,"  Mark ยังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า "มันเป็นมากไปกว่าการเป็นที่แจกอาหารยามฉุกเฉิน แต่มันเป็นที่ที่คุณจะมาได้ทุกเมื่อเพื่อพูดคุยและผูกมิตรกับคน มันเปลี่ยนจากคนนอนในถุงนอนไปสู่การมีที่อยู่ในอพาร์ตเมน์ ในก้าวต่อไป ผมต้องการจะมีงานทำเป็นหลักแหล่ง ผมซาบซึ้งกับ food bank มากที่ช่วยผมจากการที่ต้องนอนดูรายการโชว์ Jeremy Kyle โดยมีขวดน้ำหวานขนาด2ลิตรวางอยู่ข้างๆ... มันมอบความหวังใหม่และชีวิตที่ดีกว่าให้กับผม ผมอยากได้งานในที่ที่ผมจะได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นบ้าง food bankได้ทำเพื่อสังคมมากเหลือเกิน ทุกเมืองควรจะมีมันสักไว้แห่งนะครับ" Mark กล่าวทิ้งท้าย