วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชายหาดที่หายไป ของฝั่งท่านุ่น

    เคยเขียนถึงสารสินไป 2-3ตอน ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงแต่แพขนานยนต์กับการข้ามฟากไปมาระหว่างฝั่งพังงาและภูเก็ตแต่ไม่ค่อยได้เน้นย้ำถึงรายละเอียดของท่าเทียบแพทั้งสองเลย เชื่อว่าคนรุ่นใหม่คงจะไม่รู้จักชื่อพื้นๆของทั้งสองท่านี้และคงมีน้อยคนนักที่จะเคยจอดรถแวะทักทายคนท้องถิ่นที่นี้

      แพข้ามฟากถูกเรียกเป็นทางการว่าแพขนานยนต์แต่คนพื้นเพภูเก็ตดั้งเดิมเรียกว่าเรือท่านุ่น ส่วนคนในถิ่นที่นี่กลับเรียกว่าเรือเหล็ก ดังนั้นท่าเทียบแพขนานยนต์ก็น่าจะถูกเรียกว่า "ท่าเรือเหล็ก "
 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการ  

     เมื่อมองท่านุ่นจากท่าปากแหว่งก็จะเห็นสภาพของท่านุ่นแปลกไปจากที่เห็นทั่วไป โดยความเห็นส่วนตัวแล้วเห็นว่า ที่เทียบแพฝั่งท่านุ่นทั้งหมดน่าจะเกิดจากการถมดินบนป่าชายเลนมาสร้างท่าเทียบแพขนานยนต์ มีถนนผ่ากลางมาจนถึงท่าเทียบแพ การสร้างท่าเทียบมาขวางกระแสการไหลของน้ำทะเลทำให้เกิดปราการกั้นทราย พื้นดินจากฝั่งขวาของช่องแคบปากถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนโค้งเว้าเข้าไปแล้วพาทรายมาทับถมรอบบริเวณด้านหน้าของท่าเทียบแพจนเกิดเป็นหาดทรายขาวสวยงาม



ภาพหาดทรายขาวฝั่งท่านุ่น ปี 2502


   จากการบอกเล่าของ ผู้ใหญ่บ้านท่านุ่นคนปัจจุบัน(ผู้ใหญ่สมเกียรติ)เล่าว่าพื้นที่ท่านุ่นในอดีตเป็นหาดทรายทอดยาวลงไปในทะเลทางทิศตะวันออกไปไกลหลายร้อยเมตร แต่จากกการสร้างท่าเทียบแพในยุคนั้นทำให้ชายหาดทางฝั่งซ้ายของท่าเทียบแพถูกกระแสน้ำกัดเซาะหายไปจนเหลือแต่พื้นน้ำจนไม่เหลือร่องรอยของหาดทรายให้เห็นจนปัจจุบัน

  หลังจากที่มีการสร้างสะพานสารสินในปี 2510 คอสะพานกลายเป็นปราการกั้้นน้ำทะเลขึ้นมาอีกชั้นอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยอิทธิพลของกระแสน้ำที่ถูกขวางจนเกิดการหมุนวนอันสืบเนื่องมาจากการสร้างสะพานสารสินทำให้เกิดประการกีดขวางกระแสน้ำตามธรรมชาติ ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งทำให้หาดทรายอันสวยงามของท่านุ่นตรงช่องแคบปากพระถูกกัดเซาะจนเว้าแหว่งลึกเข้าไปในพื้นดินมากยิ่งขึ้น ประการที่เกิดจากการก่อสร้างสะพานทำให้หาดทรายด้านซ้ายของคอสะพานฝั่งพังงาหายไปจนหมดแต่มีหาดทรายงอกขึ้นมาทับถมบนด้านขวาของคอสะพานทดแทนนับเป็นแผ่นดินงอกที่เป็นผลประยชน์กับเจ้าของที่ดินอย่างมหาศาล


  จากจุดแคบสุดที่จะใช้ข้ามฟากตรงฝั่งท่านุ่นมีสภาพอยู่ในแนวป่าชายเลน  ทางกรมเจ้าท่าจึงต้องถมที่ป่าชายเลน(เป็นการสันนิษฐานส่วนตัว)เป็นถนนเรียบริมทะเลและสร้างเขื่อนหินกั้นกันการกัดเซาะตลิ่งไปเชื่อมกับท่าข้ามป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ที่ดินถมดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่ดินกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย



ภาพเขื่อนกันการกัดเซาะถนน ฝั่งท่านุน่น


      ฝั่งท่านุ่นในอดีตร่มรื่นอยู่ภายใต้ร่มมะขามที่ปลุกเป็นทิวแถว มีร้านขนมจีนเจ้าอร่อยอยู่3เจ้าด้วยกัน ปลูกติดต่อกันอยู่ด้านซ้ายของถนน แต่ร้านที่ขึ้นชื่อเป็นที่ติดใจของนักเดินทางยุคนั้นคือร้านของคุณยายหม่อย ร้านขนมจีนทุกร้านจะหันหน้ารับลมทะเล รถที่จอดรอแพทางฝั่งท่านุ่นจะจอดด้านขวาของถนน




คุณยายหม่อย เจ้าร้านของขนมจีนที่อร่อยที่สุด ฝั่งท่านุ่น



    แนวถนนที่ตัดไปยังท่าเทียบแพท่านุ่นเป็นถนนราดยางมะตอยบนแนวคันดิน(กว้างประมาณ 150 เมตรโดยประมาณ)บนผืนป่าชายเลน ปลายสุดของถนนทอดยาวไปไปจรดทิศตะวันออกของช่องแคบปากพระติดกับท่าปากแหว่ง ส่วนท่าเทียบแพขนานยนต์จะสร้างตั้งฉากกับแนวถนน ท่าเทียบแพหรือท่าข้ามจะสร้างลงไปในทะเลหันไปทางทิศใต้ในทิศตรงข้ามกับท่าฉัตรชัยฝั่งเกาะภูเก็ต
     
      

ภาพเก่า- ท่าฉตรชัย ขณะเหล่าพสกนิกรกำลังรอรับเสด็จ
คราพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จภูเก็ตใน ปี 2502

         การสร้างท่าเทียบแพขนานยนต์

   ท่าเทียบแพทางฝั่งท่านุ่น สร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรง มีช่องเทียบย่อยจำนวน 5 ช่องเทียบ แพขนานยนต์จะเข้าเทียบท่าตามช่องโดยขึ้นอยู่กับระดับน้ำทะเลขึ้นลง ท่าเทียบแพจะตั้งฉากกับถนนลงท่า รถยนต์ทุกคันที่มาจอดรอแพจะหันด้านคนขับหาชายทะเล แม้ถนนจะค่อนข้างแคบแต่ก็พอให้รถสามารถแล่นสวนกันได้สบาย   เมื่อรถคันสุดท้ายขึ้นพ้นจากแพ รถรอลงแพที่จอดรอบนถนนคิวแรกก็จะเริ่มสตาร์ทเครื่องค่อยๆเคลื่อนรถลงแพตามลำดับก่อนหลังตามสัญญาณมือของเจ้าหน้าที่ประจำแพขนานยนต์

      การออกแบบสร้างช่องจอดเเพให้หันไปทางทิศตะวันออก ตรงข้ามกับช่องน้ำตรงช่องปากพระทั้งฝั่งท่านุ่นและท่าฉัตรชัยเป็นความชาญฉลาดของผู้ออกแบบ เมื่อกระแสน้ำพัดทรายมาจากบริเวณปากพระจากทั้งสองฝั่งมาชนด้านหลังของท่าเทียบ(ทำให้ช่องเทียบแพไม่ถูกทรายถม)  ท่าเทียบแพทั้งสองฝั่งกลายเป็นกำแพงกั้นทรายมากองรวมกันตรงด้านหลังของท่าจนเป็นเกิดชายหาดที่สวยงามไปทั้งสองฝั่ง










เมือสะพานเกิด กฏการลงแพก้ถูกยกเลิก



    จากความคิดที่ว่าความล่าช้าในการข้ามฟากเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว แนวคิดการสร้างทางข้ามเกาะจึงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1 ดังนั้นความคิดที่จะเชื่อมเกาะภูเก็ตเข้ากับแผ่นดินใหญ่จึงเป็นความคิดก้าวหน้าของคนในพ.ศ.นั้น

    ความเจริญทางเศรษฐกิจในยุคนั้น ส่วนหนึ่งมีรายได้มาจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่จากฝั่งทะเลอันดามัน บริเวณ จังหวัดภูเก็ต พังงาและจังหวัดระนอง การผลิตแร่ดีบุกทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นที่นี่ดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศ มีผู้คนมากมากเข้ามาทำมาค้าขายที่นี่การสัญจรไปมาก็เริ่มเป็นอุปสรรคจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ความแออัดล่าช้าในการข้ามฟากจึงเกิดขึ้น 

   ความต้องการสะพานข้ามเกาะจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหา แนวคิดการถมถมทะเลเชื่อมเกาะภูเก็ตกับแผ่นดินใหญ่แห่งแรกของประเทศกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วน มันจึงถูกบรรจุลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่1

   โครงถมทะเลเริ่มดำเนินการในปี 2494 โดยบริษัทรับเหมาสัญชาติญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง(ไม่ปรากฏชื่อ)เข้ามารับเหมาดำเนินการก่อสร้าง โดยใช้หินแกรนิตมาถมเชื่อมต่อตัวเกาะภูเก็ตกับแผ่นดินใหญ่ ออกมาจากทั้งสองฝั่งให้มาบรรจบกันกลางทะเล วัสดุหินแกรนิตฝั่งพังงามาจากไหนไม่ปรากฏแต่ทางฝั่งภูเก็ตหินทุกก้อนมาจากการระเบิดภูเขาที่บ้านคอเอนซึ่งห่างจากท่าฉัตรชัยประมาณ5กิโลเมตร
   การก่อสร้างประสพปัญหาเนื่องจากการะแสน้ำเชี่ยวตอนขึ้นและลงได้พัดพาก้อนหินช่วงตอนกลางช่องแคบหลุดไปกับกระแสน้ำในทะเล หลังจากการถมหินลงไปแล้วประมาณด้านละ200เมตร บริษัทผู้รับเหมาได้ประสพภาวะขาดทุนเนื่องจากไม่สามารถสร้างแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างจนต้องละทิ้งงานและทิ้งเครื่องจักรไว้ที่ไซส์งานเป็นจำนวนมาก

 การก่อสร้างยุคใหม่
  การก่อสร้างได้่เริ่มต้นอีกครั้งในสมัยนายพจน์ สารสินเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ โดยได้ว่าจ้างบริษัท Cristiani &Nelson(Thailand) Ltd.มาสานต่อโครงการณ์ในส่วนที่เหลืออีก330เมตรกลางทะเล
   ด้วยหลักวิศวกรรมสมัยใหม่ มีการสร้างตอหม้อสะพานในทะเลแบบตอหมอเดี่ยวรองรับคานสะพาน บนช่องจราจรแค่สอง ระดับคานสะพานสูงกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดไม่มากนัก การก่อสร้างได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นท่ามกลางข่าวลือต่างๆนานาแต่ก็แล้วเสร็จภายในเวลากำหนดจนเปิดใช้งานเป็นทางการได้ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2510 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 28,770.00 บาทรวมระยะก่อสร้างทั้งสิ้น 13 ปี แพขนานยนต์ก็ตกยุคตั้งแต่บัดนั้นพร้อมๆกับกฏของการลงแพก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
      

    สะพานแล้วเสร็จ ยุคแพก็สิ้นสุด

    กฏง่ายๆของการลงแพ

   รถคันไหนเครื่องยนต์เกิดขัดข้องระหว่างการลงแพ รถคันนั้นจะถูกตัดสิทธิ์การลงแพไปโดยปริยาย รถคันหลังจะลัดคิวลงแพแทนทันที รถลงแพได้จำนวนจำกัดตามขนาดและน้ำหนักของรถที่เจ้าหน้าที่บนแพจพชะเป็นผู้กำหนด เมื่อรถคนสุดท้ายลงจนเต็มแพแล้ว รถที่ลงแพไม่ได้ก็ต้องรอแพเที่ยวหน้า







สะพานท้าวเทพกระษัตตรีถ่ายจากถนนฝั่งท่านุ่น


    

      เมื่อมีสะพานมาแทนแพ
    ท่าเทียบแพเก่าถูกปล่อยร้าง ซัลเฟตจากน้ำทะเลกัดเซาะจนเสื่อมสภาพและเป็นที่เกาะของเพรียงทะเล มีสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีระเบียบโดยรอบท่ามาบดบังความสวยงาน 
   หากลองจินตนการเอาสิ่งก่อสร้างขยะรอบๆท่าออกไป จะห็นความสวยงามผุดขึ้นมาในความนึกคิดถึงสีสันของการข้ามฟากในสมัยก่อนขึ้นมาในจินตนาการ นึกถึงภาพน้ำทะเลกระเพื่อมตอนแพเข้าใกล้ฝั่ง เสียงหวูดแพดังเตือนให้รถที่รอแฟอยู่บนฝั่งเตรียมตัวเพื่อการลงแพ
     การที่สะพานสารสินถูกสร้างต่อจากโครงสร้างงานเก่า คอสะพานจึงเป็นเป็นแนวกันทรายขึ้นมาโดยปริยาย เกิดหาดทรายที่งอกใหม่ตรงคอสะพาน  ส่วนหาดทรายเก่าบนฝั่งทั้งท่านุ่นถูกกระแสน้ำซัดหายไปสู่ธรรมชาติอีกครั้ง
   




สภาพท่าเทียบแพ ท่านุ่นตอนน้ำขึ้น ปัจจุบัน
  
     ธรรมชาติเป็นทรัพยากรที่มีค่า การใช้ประโยชน์จากที่ดินแค่เป็นอาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวไม่คุ้มกับคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของฝั่งทะเลอันดามัน
   ก่อนที่ความทรงจำของคนรุ่นเก่าจะถูกเพิกเฉยและหายไปโดยไม่มีการบันทึกเรื่องราว นอกจากคำบอกเล่าจากความทรงจำของคนรุ่นเก่าที่พากันล้มหายตายจากไปทีละคน สมควรที่หน่วยงานท้องถิ่นจะจัดรวบรวมเรื่องราวและเหตุการณ์ในอดีตเป็นกรณีย์ศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและจัดให้มีการดูแลรักษาของเก่าให้คงสภาพธรรมชาติไว้ 
   การทบทวนวางแผนอนุรักษ์และปลุกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาที่มาที่ไปของท้องถิ่นเป็นสิ่งจำเป็น ท่านุ่นคือสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของชายฝั่งทะเลอันดามัน เป็นทรัพย์ทางจิตใจของคนทั้งสองฝั่ง แม้แพจะจากไป และท่าเทียบแพจะร้าง แต่ความทรงจำก็ยังคงอยู่กับคนทั้งจากฝั่งท่านุ่นของพังงาและฝั่งท่าฉัตรชัยของภูเก็ต 



ขอนินทาฝรั่งสักวัน

   ผมมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติที่เป็นคนผิวขาวหรือที่เรียกกันว่าฝรั่งอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผมเปิดร้านอาหารเล็กๆ มีลูกค้าฝรั่งที่คุ้นเคยชอบพอกันอยู่หลายคนเนื่องจากการเปิดใจรับการวิจารณ์ตลอดจนรับฟังการปรับทุกข์และเข้าร่วมวงนินทาคนไทยร่วมชาติที่นิสัยไม่ดีเป็นบางครั้งจึงมีโอกาสได้มีอารมณ์ร่วมในการด่าคนไทยกับพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ฝรั่งที่ชอบดูแคลนคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นฝรั่งทีมีภรรยาเป็นคนไทยกันทั้งนั้น บ้างก็พอพูดไทยได้รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยเกษียณมาอาศัยชื่อภรรยาทำธุรกิจเล็กๆประเภทร้านอาหาร คนฝรั่งเหล่านี้มีมุมมองต่อคนไทยค่อนข้างเป็นลบ พวกเขาเหล่านี้คิดว่าได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตจากภรรยาของเขาเหล่านั้นดีและพอเพียงแล้ว
      สรุปมุมมองต่อคนไทย โดยฝรั่งจะมองคนไทยว่า
1 คนไทยคิดถึงเรื่องเงินเป็นอันดับแรก
2 คนไทยส่วนใหญ่ขี้เกียจไม่สู้งานหนัก
3 คนไทยชอบโกงคนต่างชาติโดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์รับจ้างและแท๊กซี่
4 ผู้หญิงไทยจำนวนมาก ทำงานในธุรกิจค้ากาม
5 คนไทยส่วนใหญ่ยากจนแต่ชอบโอ้อวดใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่มีเหตุผลเช่น การซื้อรถโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย
6 ผู้หญิงไทยที่อยากมีสามีฝรั่งด้วยเหตุผลเพราะอยากสบายและการมีชีวิตที่ดีกว่า
7 คนไทยส่วนใหญ่แยกคำว่า Request กับ borrow ไม่ออก จึงมักไว้ใจไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ  ทองๆ(ยืมเงินแล้วมักไม่ยอมคืน)
8 คนไทยไม่ชอบแสดงความคิดเห็น ชอบคล้อยตามเพราะไม่มีความคิด จึงเป็นการเสียเวลาที่จะสนทนากับคนไทย
9 คนไทยชอบดูถูกคนที่มีสถานะต่ำกว่า
    (ผมเขียนคำว่าคนไทยจนเมื่อยมือ เพราะฝรั่งมันไม่พูดเรื่องคนพม่าหรือคนเขมรให้ผมฟังเลย)

  ข้อปฏิบัติที่ผมค้นพบว่าต้องทำเพื่อเป็นต้องแก้ลำฝรั่งเหล่านี้
1 เลิกนับถือบ้าเห่อฝรั่งให้เป็นนิสัยประจำชาติไปเลย
2 เวลาต้องการเรียกความสนใจให้ฝรั่งหันมา ให้เริ่มคำว่า Excuse me ทุกครั้ง(ห้ามเริ่มด้วยคำว่า เฮ้เป็นอัดขาด)
3 อย่ายิ้มโดยไม่สมเหตุผล เพราะพวกนี้จะเรียกยิ้มสยามของเราว่าCrazy smileและไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องยิ้ม
4 ถ้าจะให้ความช่วยเหลือใคร ต้องถามก่อนว่า Can I help you ?ทุกครั้งเพราะคนฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่ช่วยเหลือคนที่ไม่ขอร้อง
5 พบเห็นคนฝรั่งมากับครอบครัวและมีเด็กที่น่ารักมาด้วย อย่าเพิ่งไปรบกวนหรือขออุ้มเด็กเป็นอันขาดจนกว่าจะรู้จักและสนิทสนมกันแล้ว แล้วค่อยบอกพวกเขาว่า ลูกคุณน่ารักจัง
6 คำว่า ขอบคุณเป็นแค่ธรรมเนียม ไม่ใช่หมายความว่าเขาจะซาบซึ้งอะไรคุณ
7 การเริ่มสนทนาครั้งแรก อย่าถามเรื่องส่วนตัว การถามว่าคุณมาจากประเทศไหนดูเป็นการดีแต่ส่วนใหญ่ คุณจะไม่ได้พบเขาอีกเลย(ผมทำลูกค้าหายไปเยอะก็เพราะไปสนใจตัวเขาจนเขารู้สึกอึดอัด)
8 ระวังการตอบรับคำเชิญไปกินอาหารค่ำกับฝรั่งสองต่อสองเมื่อพบกันครั้งแรก เขาจะคาดหมายเอาว่า เรื่องจะไปจบลงบนเตียง อันนี้ผมไม่ทราบว่าจะจริงแค่ไหน แต่จากประสพการณ์เท่าที่เห็น มักจะเป็นเช่นนี้จริง(ไม่ขอเล่ารายละเอียด)
9 การคบกับฝรั่งให้ยั่งยืน ต้องยึดระบบ ต่างคนต่างจ่ายและให้เคารพเรื่องเวลา(ผมก็เคยตกม้าตายเรื่องเวลามาแล้ว)
10 เมื่อคบกับฝรั่ง อย่าให้มีบุคคลที่สามเข้าไปเกี่ยวข้อง นอกจากเขาจะออกปากเชิญก่อน
11 การไปเยี่มเขาถึงบ้านถือเป็นโอกาสพิเศษมากๆ ถ้าเขาเชิญเรา เขาจะต้อนรับด้วยความจริงใจ
12 หลังจากไปตามคำเชิญ ควรใช้เวลาไม่เกิน2ชั่วโมงแล้วรีบลากลับ
13 การที่เขาปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพังแล้วเขาหันไปทำงานอื่นสามารถแปลเป็นภาษามนุษย์ได้ว่า "ขอเชิญคุณกลับได้แล้ว"
14 ห้ามไปเยี่ยมฝรั่งแบบไม่นัดหมายโดยเฉพาะตอนเวลาอาหาร
15 มีฝรั่งเจ้าของภาษาหลายคน ฟังภาษาอังกฤษของคุณไม่ออก ดังนั้นเวลาพูดภาษาอังกฤษ ถ้าคุณพูดได้ชัดและถูกต้องก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าพูดเร็วแบบผิดๆถูกๆหรือพยายามเลียนแบบสำเนียงพวกเขาจนเกินไป เขาจะรู้สึกลำบากเพราะฟังไม่เข้าใจและอึดอัดที่จะคุยด้วย
16 เวลาสนทนากันอย่าพยายามแสดงให้เขารู้ว่าคุณกำลังจะเรียนภาษาอังกฤษกับเขา จะทำให้การสนทนาไม่ยืดยาว การคุยกันคือการเรียนที่ดีอย่างหนึ่ง ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ถามได้อย่าทำเป็นเข้าใจแล้วทำอะไรผิดๆเขาจะเข้าใจผิดว่า คุณไม่รักษาสัญญา
17 ถ้าคุณจะชวนเขาไปเที่ยวควรบอกด้วยว่าจะกลับเมื่อไรและต้องรักษาสัญญาตามนั้น

    นิสัยของฝรั่งส่วนใหญ่(Expat ที่เข้ามาอาศัยในเมืองไทย)
1 รักความยุติธรรมตามแบบฉบับของฝรั่ง ไม่ชอบให้ใครเอารัดเอาเปรียบแต่ชอบต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ
2 ชอบอ่านหนังสือคนเดียว ขณะอ่านหนังสืออย่าไปรบกวนอย่างเด็ดขาด
3 ชอบการนัดหมายที่เป็นกิจลักษณะ ถ้าไปเยี่ยมโดยไม่นัดหมาย จะถือเป็นการพบโดยบังเอิญ ถ้าเขาไม่แสดงท่าทีว่าจะมีเวลาให้ เราจะทำได้แค่ทักทายเสร็จแล้วต้องรีบลากลับทันที
4 การต้อนรับขับสู้จะเป็นไปตามกรณีเท่านั้น ดังนั้นการได้รับเชิญไปกินอาหารในบ้านฝรั่งจึงถือเป็นกรณีพิเศษจริงๆ ถ้าไม่ได้รับเชิญหรือไม่ได้แจ้งให้ทราบก็ไม่ควรไปมาหาสู่(โดยพาะตอนใกล้เวลาอาหาร)
5 ส่วนใหญ่มีความเป็นปัจเจกบุคคลสูง ฝรั่งเคยชินกับการอยู่แบบสังคมเดี่ยวแบบครอบครัวเล็กๆและเป็นส่วนตัว มาก หากใครมีโอกาสไปเยี่ยมเขาที่ต่างประเทศ(แม้จะเกี่ยวดองกันแล้ว)จะต้องไม่ไปรบกวนเรื่องอาหารและที่พักอย่างเด็ดขาด
6 มีความคิดที่เสมอภาคเป็นพื้นฐาน ดังนั้นถ้ามีการใช้ของร่วมกันจะต้องมีการแชร์ค่าใช้จ่ายทุกครั้งนอกจากเขาจะบอกหรือตกลงล่วงหน้าว่า เขาจะเป็นคนจ่าย
7 มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เวลาคุยต้องมองหน้าและจ้องมองตา(ไม่ต้องถึงกับถลึงตาใส่) การพูดจาอ้อมค้อมและไม่มองหน้าขณะพูดคุย เขาอาจจะไม่เข้าใจแม้เราจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีแค่ไหนก็ตาม
8 ชอบการพูดจาที่มีเนื้อหาชัดเจนบนข้อมูล การพูดภาษาอังกฤษเก่งคือการพูดให้เขาเข้าใจ ไม่ได้หมายถึงพูดให้ได้สำเนียงเหมือนเขา อย่าใช้คำโตขณะพูดคุยให้ใช้คำง่ายๆพื้นๆ และอย่ามั่ว อย่าพูดพึมพำในลำคอจะกลายเป็นความไม่จริงใจต่อคู่สนทนา


วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กินเจกินผักทีภูเก็ต

   ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีนี้ ตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม 2558 เป็นวันเริ่มเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต (หลังประเพณีเดือนสิบของคนไทยในภาคใต้ 1 วันของทุกปี) คนส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ตจะเข้าร่วมพิธีกินเจในเทศกาลกินผัก(ที่จัดขึ้นทุกปี)เป็นเวลา9วัน ไม่ว่าจะด้วยความศรัทธาหรือเพื่อความสะดวกในการหาอาหารใส้ท้อง ก้ต้องกินเจกันโดยปริยายเพราะในช่วงเวลานี้ ร้านอาหารทั่วไปปรกติจะปิดร้านกันหมดส่วนที่เหลือจะหันมาทำอาหารเจจำหน่ายกันอย่างครึกครื้น

   ปีนี้ราคาผักในตลาดแพงมากสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศแต่ประชาชนก็ยังเข้าร่วมพิธีกันทั้งเมือง ส่วนผู้เขียนไม่ได้เข้าร่วมพิธีเป็นทางการแต่ก็กินอาหารเจอย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยภาระจำยอม หนึ่งปีหนึ่งหนถือเป็นการพักท้องพักกะเพาะจากการต้องย่อยเนื้อและไขมันสัตว์สักระยะ ผลที่ได้โดยตรงคือ น้ำหนักจะลดเพราะอาหารที่กินเข้าไปมีปริมาณน้อยลงและยังย่อยง่าย

   การจัดการด้านอาหารการกินแยกเป็น3กลุ่มคือ กลุ่มที่ปรุงอาหารกินเองที่บ้าน กลุ่มที่ไปหิ้วปิ่นโตจากศาลเจ้าและกลุ่มสุดท้ายที่เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นคือการไปกินอาหารเจที่ศาลเจ้ากันอย่างสมถะแบบถ้อยทีถ้อยอาศรัย โดยเฉพาะที่ศาลเจ้าสะพานหิน มีอาหารให้บริการถึงวันละ4รอบ กินกันแบบแบ่งปันช่วยกันล้างจานด้วยตัวเองไม่มีอาหารเปิบพิศดารแต่มีอาหารเพียงพอไว้คอยบริการทุกคนที่แวะมา

    วันที่ 21 ตุลาคม 2558(ขึ้น9ค่ำ เดือน11) จะเป็นวันกินผักวันสุดท้าย โดยศาลเจ้าที่จะแห่ขบวนชมเมืองเป็นขบวนสุดท้ายของปีคือศาลเจ้าหล่อโรงซึ่งก็เป็นขบวนที่ไม่ใหญ่นักจึงไม่เป็นปัญหากับการจราจรเหมือนกับ2-3วันที่ผ่านมา ส่วนช่วงกลางคืนนับแต่ 21.00น เป็นต้นไป บนท้องถนนก็จะครึกครึ้นกันอีกครั้งด้วยขบวนแห่ทำพิธีส่งพระที่ปลายแหลมสะพานหินโดยจะทำพิธีปิดเทสกาลเจประจำปีที่นั่น

    9 วันกับกระบวนการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตช่วยยืออายุสัตว์ออกไป9วัน แต่ตั้งแต่คืนนี้จะเป็นการฆ่าเพื่อเป็นอาหารจะเพิ่มเป็นทวีคูณ สำหรับคำแนะนำต่อผู้ต้องการสร้างบารมีโดยการลดละการสนับสนุนการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและเพื่อการรักษาสุขภาพก็อยากเสนอแนะว่า หลังจากที่คุ้นเคยต่อการกินเจมาแล้ว9วัน ก็น่าจะลองละอาหารประเภทเนื้อต่อออกไปอีกสักสามวันเพื่อการทดสอบกำลังใจของตัวเอง ในการลดละการรับประทานเนื้อสัตว์ เป็นที่รู้กันว่าจะเป็นประโยชน์กับสุขภาพ เมื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้(ไม่จำเป็นต้องหยุดโดยเด็ดขาด)แล้วอย่าลืมออกกำลังกายด้วยจะเป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัยของตัวเองและยังช่วยลดภาระงบประมาณด้านสาธารณะสุขของรัฐบาลไปในตัวอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วันสาร์ท






http://pantip.com/topic/31035869 ประเพณีแห่งานบุญเดือน10 ที่จังหวัด นครศรีธรรมราช


   มาถึงแล้วสำหรับวันสำคัญทางศาสนาที่สำคัญวันหนึ่งในประเทศไทย ปีนี้วันที่ 12 ตุลาคม 2558 ตรงกับ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นวันทำบุญตามความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย มีชื่อเรียกต่างๆกันตามแต่ละภาค
   คนภาคกลาง เรียกวันนี้ว่า วัน "สารทไทย" ภาคเหนือเรียก ตานก๋วยสลาก อีสาน เรียก วันทำบุญข้างสาก ส่วนภาคใต้เรียกว่า วันเดือนสิบเฉยๆก็เป็นที่เข้าใจแล้ว
   ที่ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราชจะจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดที่วัดพระมหาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ประเพณี "ชิงเปรต" เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันในบริเวณจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออกเช่น นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันตก ไม่มีพิธีการดังกล่าว ส่วนใหญ่ก็แค่นำอาหารคาวหวานไปวัด ที่ขาดไม่ได้คือ ขนมลา (ที่ทำเป็นเส้นเล็กๆยาวๆ เชื่อกันว่าเป็นอาหารชนิดเดียวที่เปรตที่มีปากเท่ารูเข็มสามารถจะกินได้) 
   ส่วนขนมอื่นๆก็จะมีขนมท่อนไต้(ขนมเทียนของภาคกลาง) ขนมเทียน(ขนมนมสาว)และขนมต้มที่ห่อด้วยใบกะพ้อ
    วันนี้ถือเป็นวันทำบุญใหญ่ของชาวพุทธในภาคใต้(ส่งเปรตกลับ) ส่วนวันทำบุญเล็กหรือวันปล่อยเปรต ได้ทำมาแล้วตั้งแรม 1 ค่ำ เดือน10 ที่ผ่านมา..เอาละเดี๋ยวได้เวลาไปวัดกันแล้ว ตามความเชื่อของชาวพุทธทั่วไป วันนี้จะละเว้นไม่ได้เลย..ได้เวลาไปส่งญาติผู้ล่วงลับกันแล้วครับ
   รายละเอียดเกี่ยวกับประเพณีวันเดือน10ของไทย สามารถดูรายละเอียดได้ที่

          บทความ  วันสาทไทย ปี 2558